Sell Your Business Today

การขายธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย: กรอบกลยุทธ์การออกจากธุรกิจอย่างมีแบบแผน

สรุปผู้บริหาร (Executive Summary)

ภาคธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มของประเทศไทยมีมูลค่าตลาดมากกว่า 300,000 ล้านบาท แสดงถึงความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 7.7% จนถึงปี 2030 (Mordor Intelligence, 2025) ปัจจุบันมีแบรนด์แฟรนไชส์จดทะเบียนกว่า 531 แบรนด์ และมีสาขาทั่วประเทศมากกว่า 59,000 แห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการขายกิจการสำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อม (Department of Business Development, 2024)

การวิเคราะห์เชิงปริมาณของเราพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในมูลค่าการประเมินกิจการ โดยธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดเล็ก (รายได้ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อปี) มักมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3–5 เท่าของ EBITDA ธุรกิจขนาดกลาง (รายได้ 10–50 ล้านบาท) จะอยู่ที่ 5–7 เท่า ขณะที่ธุรกิจระดับพรีเมียม (รายได้มากกว่า 50 ล้านบาท) สามารถทำมูลค่าได้ถึง 8–10 เท่าขึ้นไป อย่างไรก็ตาม การจะได้มาซึ่งมูลค่าระดับพรีเมียมดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยการจัดการอย่างซับซ้อน ทั้งในด้านกรอบกฎหมาย การวางตำแหน่งผู้ซื้อที่มีศักยภาพ และการโครงสร้างธุรกรรมที่รอบคอบ ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นของผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษา M&A โดยเฉพาะ

กรอบกลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นว่าการได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญผ่านแพลตฟอร์มแบบบูรณาการของ Max Solutions สามารถสร้าง “มูลค่าเพิ่มที่วัดได้” โดยดีลที่ดำเนินการโดยที่ปรึกษามี ส่วนเพิ่มของมูลค่ากิจการ (valuation premiums) สูงขึ้น 20–30% และมี อัตราความสำเร็จของการขายสูงกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับการขายที่เจ้าของดำเนินการเอง.

บทนำ (Introduction)

ภาคธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มของประเทศไทยได้พัฒนาเข้าสู่ระบบนิเวศทางธุรกิจที่มีความซับซ้อน ซึ่งจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การออกจากธุรกิจ (Exit Strategy) ที่มีความชำนาญเช่นเดียวกัน ตลาดนี้ครอบคลุมตั้งแต่ร้านอาหารระดับพรีเมียมที่มีรายได้ต่อปีประมาณ 20–30 ล้านบาท ไปจนถึงร้านแฟรนไชส์ขนาดเล็กระดับงบจำกัดที่มีรายได้เฉลี่ยเพียง 600,000–1.8 ล้านบาทต่อปี ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านการประเมินมูลค่าธุรกิจและกลยุทธ์ในการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของผู้ซื้อ

ปัจจัยพื้นฐานของตลาดชี้ให้เห็นถึงความน่าสนใจในการลงทุนของอุตสาหกรรมนี้ โดยตลาดบริการอาหารของไทยมีมูลค่ารวม 35.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 ซึ่งกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์สามารถครองส่วนแบ่งมูลค่าได้ในสัดส่วนที่สูง แม้จะมีจำนวนสาขาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับร้านอิสระ ทั้งนี้ แบรนด์แฟรนไชส์ระดับนานาชาติแม้จะมีเพียงกว่า 100 แบรนด์และ 10,000 สาขา แต่กลับครองส่วนแบ่งมูลค่าตลาดแฟรนไชส์รวมกว่า 50% ของประเทศ (opFranchise, 2025)

ในด้านการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ พบรูปแบบการกระจุกตัวเชิงกลยุทธ์อย่างชัดเจน โดยเขตกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่มีร้านอาหารจดทะเบียนมากที่สุด คิดเป็นประมาณ 39.54% รองลงมาคือจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ชลบุรี (10.97%) และ ภูเก็ต (7.88%) การกระจุกตัวดังกล่าวสร้างทั้งโอกาสและความท้าทาย — ในขณะที่พื้นที่ที่มีการสัญจรหนาแน่นช่วยเพิ่มมูลค่าการประเมินของธุรกิจระดับพรีเมียม แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการในจังหวัดต่าง ๆ ต้องเผชิญความท้าทายในการหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านทำเลและการลดราคาแบบดั้งเดิม.

ภาพรวมการประเมินมูลค่า (Valuation Landscape)

การประเมินมูลค่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนตามปัจจัยด้านขนาด ทำเลที่ตั้ง ลักษณะการให้บริการ และรูปแบบการดำเนินงาน การวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมล่าสุดของเราเผยให้เห็นรูปแบบการกำหนดราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้สามารถกำหนดตำแหน่งทางกลยุทธ์ของธุรกิจและระบุกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

ตารางที่ 1: การประเมินมูลค่าตามรายได้ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย (ปี 2568)

อัตราส่วนมูลค่าตามรายได้ (Revenue multiples) (ตารางที่ 1) เป็นแนวทางการประเมินมูลค่าทางเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีประโยชน์สำหรับธุรกิจที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ หรืออยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของการดำเนินงาน อัตราส่วนเหล่านี้มีค่าตั้งแต่ 0.6–2 เท่าของรายได้ต่อปี โดยธุรกิจที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่หรืออยู่ในกลุ่มพรีเมียมมักจะได้รับอัตราส่วนมูลค่าที่สูงกว่า.

กระบวนการขายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบบ 6 ขั้นตอน

การทำธุรกรรมขายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย มักดำเนินการตามกระบวนการที่มีระบบระเบียบและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 9 เดือน และต้องดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบใน 6 ขั้นตอนหลัก แต่ละขั้นตอนมีจุดมุ่งหมายเฉพาะในการเพิ่มมูลค่าธุรกิจ (value optimization) และลดความเสี่ยง (risk mitigation) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ของการทำธุรกรรมในที่สุด.

ขั้นตอนที่ 1: การประเมินเชิงกลยุทธ์และการวางตำแหน่งทางการตลาด (ระยะเวลา 4 สัปดาห์)

ขั้นตอนการเตรียมการนี้เป็นรากฐานสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการประเมินธุรกิจ ผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพทางการเงินและการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างครบถ้วน ช่วงเวลานี้ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการวิเคราะห์ปัจจัยสร้างมูลค่าเฉพาะของธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ

กิจกรรมหลักในขั้นตอนนี้ประกอบด้วย:

  • เอกสารทางการเงินและการเพิ่มประสิทธิภาพ EBITDA (Financial Documentation & EBITDA Optimization)
    ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มจำเป็นต้องมีงบการเงินย้อนหลัง 3–5 ปี ที่เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินของประเทศไทย (Thai Financial Reporting Standards – TFRS) พร้อมการคำนวณค่า EBITDA ที่ปรับให้เป็นมาตรฐาน การปรับปรุงหลักประกอบด้วยการตัดค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเจ้าของออก การปรับสัดส่วนต้นทุนอาหารให้อยู่ในระดับเหมาะสม (28–35% สำหรับการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ) และการบันทึกประสิทธิภาพของแรงงานที่ได้รับการปรับปรุง
  • การปฏิบัติตามกฎหมายและการวิเคราะห์สัญญาแฟรนไชส์ (Regulatory Compliance & Franchise Agreement Analysis)
    เอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียม ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบกิจการอาหาร (Food Business License: FBL), การรับรองจาก อย. (FDA) สำหรับผลิตภัณฑ์อาหาร, บันทึกการปฏิบัติตามสัญญาแฟรนไชส์ และเอกสารสิทธิ์การดำเนินธุรกิจในพื้นที่ ทั้งนี้ ตาม แนวทางแฟรนไชส์ประเทศไทย ปี 2020 การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสและครบถ้วนช่วยแสดงถึงความชอบธรรมในการดำเนินงานและลดความเสี่ยงที่ผู้ซื้อรับรู้
  • การคัดเลือกที่ปรึกษา (Advisor Selection)
    ควรเลือกที่ปรึกษาเฉพาะทางด้าน M&A (Mergers & Acquisitions) ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ข้อมูลเชิงสถิติแสดงให้เห็นว่าการมีที่ปรึกษามืออาชีพสามารถเพิ่มมูลค่าการประเมินได้ 10–30% และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายสำเร็จได้ถึง สองเท่า เมื่อเทียบกับการดำเนินการโดยเจ้าของกิจการเอง

กรณีศึกษา (Case Study):
ธุรกิจแฟรนไชส์ชานมไข่มุกในกรุงเทพฯ ที่มี 8 สาขา ได้ลงทุนกว่า 3.2 ล้านบาท ในการปรับปรุงระบบก่อนการขาย เช่น มาตรฐานระบบ POS, การจัดการสินค้าคงคลัง และเอกสารความสัมพันธ์กับแฟรนไชส์ซอร์ การปรับปรุงดังกล่าวช่วยลดของเสียจากอาหารได้ 12% และแสดงให้เห็นถึงการควบคุมการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ธุรกิจสามารถทำมูลค่าขายได้ในระดับ 6.2 เท่าของ EBITDA ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่อยู่ที่ 5.1 เท่า.

ขั้นตอนที่ 2: การระบุผู้ซื้อเชิงกลยุทธ์และการนำเสนอขายในตลาด (ระยะเวลา 8 สัปดาห์)

ขั้นตอนการนำเสนอขายนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง “แรงดึงดูดเชิงการแข่งขัน” ผ่านการระบุและเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายอย่างเป็นระบบ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครอบคลุมถึงกลุ่มบริษัทผู้รวมกิจการ (consolidators) เครือข่ายแฟรนไชส์อาหารระดับนานาชาติ และนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ กระบวนการนี้มักก่อให้เกิดการแสดงความสนใจซื้อ (Expressions of Interest: EOI) จำนวน 4–8 ราย สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มที่มีการวางตำแหน่งทางการตลาดอย่างเหมาะสม

กิจกรรมหลักในขั้นตอนนี้ประกอบด้วย:

  • การจำแนกกลุ่มผู้ซื้อ (Buyer Universe Segmentation):
    ผู้ซื้อธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มสามารถแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามแนวทางการประเมินมูลค่าและวัตถุประสงค์ในการลงทุน ได้แก่
    • กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย (Thai Conglomerates):
      เช่น กลุ่มซีพี (CP Group), ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Minor International), และกลุ่มเซ็นทรัล (Central Group) ซึ่งมักมองหาโอกาสในการขยายพอร์ตธุรกิจ
    • เครือข่ายแฟรนไชส์ระดับนานาชาติ (International Networks):
      เช่น Yum! Brands, Restaurant Brands International, และ Jubilant FoodWorks ที่มีเป้าหมายในการขยายตลาดเข้าสู่ประเทศไทย
    • กองทุนเอกชน (Private Equity):
      มุ่งลงทุนในโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (recurring revenue) และมีโอกาสในการขยายสาขา
    • ผู้รวมกิจการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Consolidators):
      ผู้ประกอบการแฟรนไชส์รายอื่นที่ต้องการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดหรือเพิ่มขนาดธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ

ตัวอย่างกรณีศึกษา (Case Example):
ตัวอย่างธุรกรรมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความสนใจจากผู้ซื้อระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เช่น การขายกิจการ KFC Thailand ในปี 2023 มูลค่า 4.5 พันล้านบาท ให้กับบริษัทผู้ดำเนินการชาวอินเดีย Devyani International ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (cross-border transaction) ที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนี้.

ขั้นตอนที่ 3: การรับข้อเสนอแสดงความสนใจ (4 สัปดาห์)

ขั้นตอน IOI เป็นช่วงที่ใช้ในการตรวจสอบตลาดเบื้องต้นและคัดกรองผู้ซื้อ ซึ่งโดยทั่วไปจะก่อให้เกิดกรอบการประเมินมูลค่าเบื้องต้นที่ช่วยกำหนดกลยุทธ์การเจรจาและลำดับความสำคัญของผู้ซื้อ

กรอบการวิเคราะห์ IOI:

  • การประเมินช่วงมูลค่าโดยเปรียบเทียบกับธุรกรรมที่ใกล้เคียง
  • การพิจารณาโครงสร้างดีล (การซื้อหุ้นเทียบกับการซื้อสินทรัพย์)
  • ความสามารถในการจัดหาเงินทุนและข้อกำหนดด้านระยะเวลา
  • การประเมินเหตุผลเชิงกลยุทธ์และความเหมาะสมทางวัฒนธรรม

ขั้นตอนที่ 4: การรับหนังสือแสดงเจตจำนง (4 สัปดาห์)

ขั้นตอน LOI เป็นการเปลี่ยนจากความสนใจเบื้องต้นไปสู่ข้อตกลงที่มีความมุ่งมั่น โดยต้องมีการเจรจาในเชิงลึกเกี่ยวกับราคา โครงสร้าง และเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ได้ทั้งมูลค่าที่เหมาะสมและความชัดเจนของข้อตกลง

กิจกรรมหลักในช่วง LOI ประกอบด้วย:

  • การวิเคราะห์ LOI: ประเมินราคาที่เสนอ โครงสร้างการชำระเงิน เงื่อนไขการรับผลตอบแทนเพิ่มเติม (earnouts) ข้อกำหนดพิเศษ และเงื่อนไขความเฉพาะสิทธิ์ (exclusivity terms)
  • การกำหนดค่ามูลค่าสุดท้ายและโครงสร้างการชำระเงิน
  • กลไกการจ่ายผลตอบแทนตามรายได้หรือการเติบโตของ EBITDA
  • ข้อกำหนดการคงอยู่ของฝ่ายบริหารและเงื่อนไขการจ้างงาน
  • กรอบการรับรอง การรับประกัน และการชดใช้ความเสียหาย
  • ข้อเสนอแย้ง (Counteroffers): การเจรจาปรับปรุงเงื่อนไขสำคัญโดยอาศัยความได้เปรียบจากผู้เสนอหลายราย
  • การเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างดีล (Deal Structure Optimization): พิจารณาผลกระทบทางภาษีระหว่างการขายหุ้น (ซึ่งโดยทั่วไปนิยมมากกว่า) กับการขายสินทรัพย์ โดยให้ความสำคัญกับข้อจำกัดของผู้ซื้อชาวต่างชาติ

ข้อตกลงความเฉพาะสิทธิ์ (Exclusivity Agreement): ให้สิทธิ์เฉพาะผู้ซื้อที่ได้รับคัดเลือกเป็นระยะเวลาจำกัด (โดยทั่วไป 30–45 วัน) เพื่อดำเนินการตรวจสอบสถานะกิจการเชิงลึก (Due Diligence).

ขั้นตอนที่ 5: การตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) (ระยะเวลา 8–12 สัปดาห์)

ขั้นตอนการตรวจสอบสถานะกิจการถือเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด โดยพบว่ามีธุรกรรมล้มเหลวถึง 68% ในช่วงกระบวนการตรวจสอบเชิงลึกนี้ การเตรียมความพร้อมอย่างมืออาชีพและการแก้ไขปัญหาเชิงรุกเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของดีลและความถูกต้องของมูลค่าธุรกิจ

ประเด็นเฉพาะในการตรวจสอบสถานะของธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม (F&B Franchise-Specific Due Diligence Areas):

  • การประเมินการดำเนินงาน (Operational Assessment): แนวโน้มยอดขายต่อสาขา เศรษฐศาสตร์ของแต่ละหน่วย และตัวชี้วัดประสิทธิภาพแรงงาน
  • การปฏิบัติตามระบบแฟรนไชส์ (Franchise Compliance): ประวัติการชำระค่าธรรมเนียมสิทธิ์ (royalty) การปฏิบัติตามข้อตกลงด้านพื้นที่ และคุณภาพความสัมพันธ์กับแฟรนไชส์ซอร์
  • การทบทวนข้อกำหนดทางกฎหมาย (Regulatory Review): บันทึกด้านความปลอดภัยอาหาร การปฏิบัติตามใบอนุญาต และการตรวจสอบโครงสร้างภายใต้พระราชบัญญัติธุรกิจของคนต่างด้าว
  • คุณภาพทางการเงิน (Financial Quality): นโยบายการรับรู้รายได้ การประเมินมูลค่าสินค้าคงคลัง และการปรับปรุงเงินทุนหมุนเวียนให้เป็นมาตรฐาน

หมายเหตุสำคัญ (Key Notes):
พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้กำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่จำหน่ายแอลกอฮอล์ หากไม่ปฏิบัติตามอาจส่งผลให้มูลค่าธุรกิจลดลงได้ถึง 15–25%.

ขั้นตอนที่ 6: การดำเนินการตามสัญญาซื้อขายและการปิดการขาย (ระยะเวลา 4 สัปดาห์)

ขั้นตอนสุดท้ายของการทำธุรกรรมเกี่ยวข้องกับการเจรจาข้อตกลงการซื้อขายขั้นสุดท้าย ซึ่งครอบคลุมถึงข้อกำหนดเฉพาะของการโอนสิทธิ์แฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น การอนุมัติจากแฟรนไชส์ซอร์ การโอนสัญญาเช่า และการขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

กิจกรรมหลักในช่วงการปิดการขายประกอบด้วย:

การเจรจาข้อตกลงการซื้อขาย (Purchase Agreement Negotiation):

  • การปรับเงินทุนหมุนเวียนสำหรับสินค้าคงคลังและค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ที่ชำระล่วงหน้า
  • การขอความยินยอมจากแฟรนไชส์ซอร์และการเจรจาค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิ์
  • การกำหนดรายละเอียดการรับรองและการรับประกัน พร้อมระยะเวลาความคุ้มครองที่เหมาะสม
  • การกำหนดขีดจำกัดความรับผิด การจัดการกองทุนค้ำประกัน และบัญชีเอสโครว์ (escrow arrangements)
  • การวางแผนการบูรณาการและการเปลี่ยนผ่านการบริหารหลังการปิดการขาย (post-closing integration and management transition planning).

กลยุทธ์การเพิ่มมูลค่าเฉพาะอุตสาหกรรม (Industry-Specific Value Enhancement Strategies)

ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มมูลค่าธุรกิจ (Valuation Enhancing Factors):

  • รายได้ประจำมากกว่า 60% ของรายได้รวม: เพิ่มมูลค่า +20–30%
  • สูตรเฉพาะ ระบบ หรือเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์: เพิ่มมูลค่า +25–40%
  • การดำเนินงานหลายสาขาที่สามารถขยายได้จริง: เพิ่มมูลค่า +15–25%
  • ทีมผู้บริหารที่มีความเป็นอิสระจากผู้ก่อตั้ง: เพิ่มมูลค่า +15–20%
  • พอร์ตทำเลคุณภาพ (กรุงเทพฯ และพื้นที่ท่องเที่ยว): เพิ่มมูลค่า +10–20%
  • การรับรู้แบรนด์แฟรนไชส์ที่แข็งแกร่ง: เพิ่มมูลค่า +15–25%
  • สัญญาแฟรนไชส์ระยะยาวที่มีสิทธิ์ต่ออายุ: เพิ่มมูลค่า +10–15%

ปัจจัยที่ลดมูลค่าธุรกิจ (Valuation Discount Factors):

  • พึ่งพาสาขาเดียว: ลดมูลค่า –15–30%
  • พึ่งพาผู้ก่อตั้งมากเกินไปในกระบวนการดำเนินงาน: ลดมูลค่า –20–35%
  • แนวโน้มยอดขายต่อสาขาที่ลดลง: ลดมูลค่า –15–25%
  • ขาดการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ลดมูลค่า –15–25%
  • ทำเลตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล: ลดมูลค่า –15–20%
  • อายุสัญญาแฟรนไชส์ที่เหลืออยู่สั้น: ลดมูลค่า –10–20%
  • ความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย: ลดมูลค่า –10–15%

มูลค่าที่วัดได้ของการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน M&A (The Quantified Value of Professional M&A Advisory)

ที่ปรึกษาด้านการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในธุรกรรมแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม (F&B) สามารถสร้างการปรับปรุงเชิงปริมาณได้อย่างชัดเจนในหลายมิติของผลการดำเนินงาน งานวิจัยที่วิเคราะห์ธุรกรรมที่มีลักษณะใกล้เคียงกันพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในด้านอัตราความสำเร็จ ระยะเวลา และมูลค่าการประเมิน ระหว่างดีลที่ดำเนินการโดยที่ปรึกษามืออาชีพกับดีลที่เจ้าของดำเนินการเอง.

ดังที่แสดงไว้ในภาพที่ 3 ที่ปรึกษามืออาชีพสามารถสร้างประโยชน์หลักได้ 3 ประการ ได้แก่

  • อัตราความสำเร็จที่สูงกว่า: ธุรกรรมที่ดำเนินการโดยที่ปรึกษามีโอกาสสำเร็จมากกว่าสองเท่า (80% เทียบกับ 40%) เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบ การคัดกรองผู้ซื้อที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และการแก้ไขปัญหาเชิงรุก
  • การปิดการขายที่รวดเร็วกว่า: กระบวนการแบบมืออาชีพช่วยลดระยะเวลาปิดดีลได้ประมาณ 25% โดยเฉลี่ยดีลที่มีที่ปรึกษาจะปิดภายใน 8–9 เดือน เทียบกับมากกว่า 12 เดือน สำหรับดีลที่เจ้าของดำเนินการเอง
  • มูลค่าการขายที่สูงกว่า: ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ขายผ่านที่ปรึกษาจะได้รับมูลค่าสูงกว่าประมาณ 10–30% (เฉลี่ย 20%) ซึ่งหมายถึงรายได้เพิ่มเติมหลายล้านบาทให้กับเจ้าของกิจการ

Max Solutions มีความโดดเด่นด้วยการให้บริการแบบบูรณาการ ที่ผสานความเชี่ยวชาญด้าน M&A เข้ากับความรู้ทางกฎหมายและบัญชี ผ่านความร่วมมือกับ สำนักงานทนายความถนอมศักดิ์ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านกฎหมายธุรกิจไทยมากกว่า 50 ปี ในการจัดการธุรกรรมที่ซับซ้อน

ข้อเสนอแบบบูรณาการของเรา (Our Integrated Value Proposition):

  • ความเชี่ยวชาญเชิงลึกด้านกฎระเบียบ (Deep Regulatory Expertise): การดำเนินการตามข้อจำกัดของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การปฏิบัติตาม PDPA และกลยุทธ์การจัดการภาษีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
  • เครือข่ายผู้ซื้อขนาดใหญ่ (Extensive Buyer Networks): ความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศ เครือข่ายผู้ประกอบการแฟรนไชส์ระดับนานาชาติ และนักลงทุนกองทุนเอกชน
  • การออกแบบโครงสร้างดีลอย่างมีชั้นเชิง (Sophisticated Deal Structuring): การปรับโครงสร้างธุรกรรมเพื่อเพิ่มผลตอบแทนหลังหักภาษีสูงสุด พร้อมควบคุมความสอดคล้องตามข้อกฎหมาย

การบริหารจัดการธุรกรรมแบบครบวงจร (End-to-End Transaction Management): การดูแลทุกขั้นตอนของธุรกรรมตั้งแต่การเตรียมการจนถึงการปิดดีล ภายใต้การรับผิดชอบจากแหล่งเดียว.

สรุป (Conclusion)

ภาคธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มของประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการขายกิจการ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 7.74% คาดการณ์ต่อเนื่องจนถึงปี 2030 แนวโน้มการควบรวมกิจการและความต้องการซื้อที่แข็งแกร่งสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อเจ้าของแฟรนไชส์ที่มีการเตรียมตัวอย่างมีกลยุทธ์และดำเนินการตามกระบวนการขาย 6 ขั้นตอน (Mordor Intelligence, 2025; Department of Business Development, 2024) ความสำเร็จของธุรกิจขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามกฎหมาย การพัฒนารายได้ประจำ และศักยภาพในการขยายกิจการ

สำหรับเจ้าของธุรกิจ หลักฐานชี้ชัดว่าการขายกิจการโดยมีที่ปรึกษามืออาชีพช่วยให้ได้มูลค่าสูงขึ้นถึง 25% มีอัตราความสำเร็จมากกว่าเท่าตัว และปิดดีลได้เร็วกว่า โดยธุรกรรมหลายรายการมีมูลค่าสูงถึงหลักร้อยล้านบาท ทำให้ผลตอบแทนจากการใช้บริการที่ปรึกษามืออาชีพ (ROI) มีค่าสูงกว่าค่าบริการที่จ่ายไปอย่างมีนัยสำคัญ แพลตฟอร์มแบบบูรณาการของ Max Solutions ที่ผสานความเชี่ยวชาญด้าน M&A, ความเชี่ยวชาญทางกฎหมายจาก Tanornsak Law Firm, และเครือข่ายผู้ซื้อขนาดใหญ่ระดับลึก ช่วยให้ผู้ขายสามารถเพิ่มมูลค่าธุรกิจได้สูงสุด พร้อมทั้งบริหารจัดการความซับซ้อนด้านกฎระเบียบและตลาดของประเทศไทย การประยุกต์ใช้กรอบแนวทางนี้ร่วมกับการทำงานของที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้เจ้าของแฟรนไชส์สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำธุรกรรมทางการเงินที่สำคัญที่สุดของตน

คำถามที่พบบ่อย (Frequently Asked Questions: FAQs)

ถาม: ควรคาดหวังค่า EBITDA Multiple เท่าใดสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มของฉัน?

ตอบ: ค่า Multiple ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะการดำเนินงานของธุรกิจ

  • ธุรกิจขนาดเล็ก (รายได้ต่ำกว่า 10 ล้านบาท) มักอยู่ที่ 3–5 เท่าของ EBITDA
  • ธุรกิจขนาดกลาง (รายได้ 10–50 ล้านบาท) อยู่ที่ 5–7 เท่า
  • ธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ (รายได้มากกว่า 50 ล้านบาท) สามารถอยู่ที่ 8–10 เท่าขึ้นไป

ทั้งนี้ ปัจจัยเสริม เช่น รายได้ประจำ (Recurring Revenue), ระบบที่เป็นกรรมสิทธิ์, และความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับแฟรนไชส์ซอร์ สามารถเพิ่มมูลค่าได้อีกประมาณ 20–40% จากค่าเฉลี่ยพื้นฐาน.

ถาม: พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (Foreign Business Act) มีผลกระทบอย่างไรต่อการขายธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม?
ตอบ: กฎหมายฉบับนี้จำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของชาวต่างชาติไว้ไม่เกิน 49% หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งส่งผลต่อทั้งกลุ่มผู้ซื้อและโครงสร้างดีล ผู้ซื้อชาวต่างชาติต้องร่วมทุนกับนิติบุคคลไทย ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือจัดโครงสร้างการลงทุนแบบถือหุ้นส่วนน้อย ข้อจำกัดนี้มักทำให้มูลค่าธุรกิจลดลงประมาณ 10–15% แต่สามารถบรรเทาได้โดยใช้สิทธิส่งเสริมการลงทุนจาก BOI หรือการวางโครงสร้างเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม

ถาม: ระยะเวลาโดยทั่วไปในการขายธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มคือเท่าใด?
ตอบ: ธุรกิจแฟรนไชส์ที่บริหารโดยมืออาชีพจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 9 เดือน ตั้งแต่เริ่มเตรียมการจนถึงการปิดการขาย โดยแบ่งเป็น

  • เตรียมการ (Preparation): 1 เดือน
  • การนำเสนอขาย (Solicitation): 2 เดือน
  • การประเมิน IOI: 1 เดือน
  • การเจรจา LOI: 1 เดือน
  • การตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence): 3 เดือน
  • การปิดการขาย (Closing): 1 เดือน

ส่วนการขายที่ดำเนินการโดยเจ้าของเองมักใช้เวลามากกว่า 12 เดือน และมีอัตราความล้มเหลวสูงกว่ามาก

ถาม: คุ้มค่าหรือไม่หากจ้างที่ปรึกษา M&A สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดเล็ก?
ตอบ: งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ROI เป็นบวกในทุกขนาดของดีล แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็ก ที่ปรึกษายังคงช่วยเพิ่มมูลค่าเฉลี่ยได้ 25% เพิ่มอัตราความสำเร็จเป็นสองเท่า และลดระยะเวลาในการปิดการขายลงได้ถึง 25% ผลตอบแทนที่ได้รับจากราคาขายที่สูงขึ้นมักมากกว่าค่าธรรมเนียมที่ปรึกษา 3–5 เท่า ซึ่งทำให้การใช้บริการที่ปรึกษามืออาชีพเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและสมเหตุสมผล

ถาม: ทำไมจึงควรเลือก Max Solutions สำหรับบริการที่ปรึกษา M&A ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม?
ตอบ: Max Solutions มอบบริการครบวงจรที่ผสานความเชี่ยวชาญด้าน M&A กฎหมาย และบัญชี ร่วมกับพันธมิตรคือ Tanornsak Law Firm (ประสบการณ์กว่า 50 ปี) เพื่อให้การดำเนินธุรกรรมเป็นไปอย่างราบรื่นภายใต้การดูแลจากแหล่งเดียว (Single-source Accountability)
ด้วยความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่ม เครือข่ายผู้ซื้อที่กว้างขวาง และสถิติความสำเร็จในการสร้างมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด ทำให้ Max Solutions เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ขายที่ต้องการผลลัพธ์ทางการเงินสูงสุด.

เอกสารอ้างอิง

Mordor Intelligence. (2025). Thailand Foodservice Market Size & Share Analysis – Industry Research Report – Growth Trends.

BusinessCoach. (2024). Overview of the Franchise System in Thailand (2024-2025).

TopFranchise. (2025). Best Franchise Opportunities in Thailand 2025.

Nation Thailand. (2025). Restaurant businesses in Thailand grow 28% in 2023 with 314bn baht revenue.

RL Hulett. (2025). Food & Consumer M&A Update – Q2 2025.

Hexagon Capital Alliance. (2024). Food & Beverage Market Monitor – Winter 2024.

Law.asia. (2025). Thailand’s Foreign Business Act Reform – Investment Opportunity.

Silk Legal. (2025). Thailand Updates Alcohol Regulations: Key Takeaways from the Alcoholic Beverage Control Act (No. 2) B.E. 2568.

Scroll to Top