Sell Your Business Today

ขายธุรกิจของคุณวันนี้

คู่มือขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทย: ทำอย่างไรให้ได้ราคาดีและปิดการขายอย่างมั่นใจ

การตัดสินใจขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าของกิจการหรือผู้ก่อตั้งทุกคน
คำถามที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ควรขายเมื่อไรถึงจะเหมาะที่สุด?
  • ธุรกิจของเรามีมูลค่าเท่าไร?
  • จะขายให้ได้ตัวคูณ (multiple) ที่สูงขึ้นได้อย่างไร?
  • มีวิธีเพิ่มมูลค่ากิจการก่อนขายหรือไม่?
  • กระบวนการขายหรือ Exit Process ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

บทความนี้จะตอบคำถามเหล่านี้ โดยพาไปดูภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซ แนวโน้มการซื้อขายกิจการ (M&A) และขั้นตอนสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับการขายอย่างมีประสิทธิภาพ

แนวโน้มอีคอมเมิร์ซและร้านค้าออนไลน์ในประเทศไทย: สิ่งที่ควรรู้

ในปี 2567 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยคาดว่าจะทะลุ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 9.2 แสนล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 14% ต่อปี คาดการณ์ว่าภายในปี 2570 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะพุ่งสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท  การเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การเข้าใจแนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การขายและการประเมินมูลค่าธุรกิจได้อย่างเหมาะสม

การประเมินมูลค่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซในบริบทของประเทศไทย

จากแนวโน้มในตลาดประเทศไทย ปัจจุบันธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีคุณภาพสูง—โดยเฉพาะธุรกิจที่มีระบบโลจิสติกส์ดี ฐานลูกค้าแข็งแรง และมีช่องทางการขายที่หลากหลาย—ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนและกลุ่มทุนที่ต้องการเข้าซื้อกิจการ ในช่วงปี 2567 นี้ ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับเจ้าของกิจการที่มีแผน “Exit” หรือขายกิจการออก โดยเฉพาะธุรกิจที่มีผลกำไรเติบโตสม่ำเสมอ และมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ซึ่งมักจะสามารถเจรจาขายได้ในอัตราตัวคูณ (multiple) ที่น่าพึงพอใจ แม้ข้อมูลเชิงสถิติของการประเมินค่าธุรกิจในไทยอาจยังไม่มีความแพร่หลายเท่าต่างประเทศ แต่จากประสบการณ์ของบริษัทนายหน้าและที่ปรึกษาธุรกิจในประเทศพบว่า
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีอายุเกิน 2 ปี ฐานลูกค้าชัดเจน และพึ่งพาเจ้าของน้อย จะมีแนวโน้มได้รับการประเมินในระดับ multiple 4.5–6.0 เท่า ของกำไรสุทธิหรือกระแสเงินสดที่ปรับแล้ว (เช่น SDE หรือ EBITDA) ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ต้องการขายกิจการ ควรเร่งเตรียมความพร้อมทั้งในด้านตัวเลขทางการเงิน และความเป็นระเบียบของระบบปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเจรจาขายได้ในมูลค่าที่ดีที่สุด

ปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

มูลค่าการขายกิจการอีคอมเมิร์ซมักจะพิจารณาจาก “ตัวคูณ” (Multiple) ของกำไรสุทธิหรือกระแสเงินสดที่ปรับแล้ว ซึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อระดับตัวคูณนั้นได้แก่ อายุของธุรกิจ แนวโน้มรายได้ ความจำเป็นที่เจ้าของต้องมีส่วนร่วม และความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้าหรือซัพพลายเออร์รายใหญ่

ประเภทร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่ทำกำไรได้ดีที่สุดในประเทศไทย

จากแนวโน้มในตลาดการซื้อขายกิจการ (M&A) ด้านอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย เริ่มเห็นความสนใจเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนรายย่อยและกลุ่มทุนที่กำลังมองหาธุรกิจออนไลน์ที่มีระบบพร้อมโอนกิจการได้จริง โดยเฉพาะ ร้านค้าออนไลน์ที่ใช้เว็บไซต์ของตัวเอง ผ่านแพลตฟอร์ม เช่น Shopify, ReadyPlanet, Page365 หรือ WooCommerce ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าและประสบการณ์การซื้อได้อย่างครบวงจร

เหตุผลที่ร้านค้าอิสระได้รับความสนใจจากผู้ซื้อในไทย:

  • ไม่มีคู่แข่งบนหน้าเว็บไซต์ของตนเอง
    ต่างจากแพลตฟอร์ม marketplace (เช่น Lazada หรือ Shopee) ที่มักแสดงสินค้าจากหลายร้านพร้อมกัน การมีเว็บไซต์อิสระช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น และมีโอกาสตัดสินใจซื้อมากขึ้น
  • ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้บ่อยกว่า
    เมื่อร้านค้าออนไลน์สามารถเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น เบอร์โทร อีเมล หรือประวัติการซื้อ ก็จะสามารถทำการตลาดซ้ำ (remarketing) หรือออกโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่มได้แม่นยำยิ่งขึ้น ส่งผลให้ ต้นทุนในการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost) ลดลงอย่างชัดเจน
  • ควบคุมแบรนด์และประสบการณ์ลูกค้าได้เต็มที่
    ร้านที่บริหารจัดการบนเว็บไซต์ตนเองสามารถออกแบบเส้นทางการซื้อ ระบบจ่ายเงิน ช่องทางติดตาม และเนื้อหาสื่อสาร ได้ตรงตามภาพลักษณ์ที่ต้องการ ส่งเสริมให้เกิด ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) และอัตราการซื้อซ้ำ (Repeat Order Rate) ที่สูงกว่า

ธุรกิจลักษณะนี้จึงมีโอกาสสร้างผลกำไรระยะยาวที่มั่นคง และกลายเป็น ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ที่ต้องการกิจการที่พร้อมต่อยอดทันที

อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์ม marketplace อย่าง Lazada, Shopee หรือ TikTok Shop ก็ยังคงครองตลาดในแง่ปริมาณการซื้อขาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าราคาต่ำหรือโปรโมชั่นแรง และมีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ธุรกิจที่สามารถ “แยกฐานลูกค้า” ออกจากแพลตฟอร์มหลัก และสร้าง ช่องทางขายที่ควบคุมได้เอง จะได้รับความสนใจสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากสามารถสร้างมูลค่าธุรกิจที่ยั่งยืน และทำให้การประเมินราคาขาย (Valuation) มีความชัดเจนและต่อรองได้มากกว่า

วิธีเพิ่มมูลค่าให้กับร้านค้าอีคอมเมิร์ซก่อนขาย

มูลค่าของกิจการอีคอมเมิร์ซนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก ได้แก่

  • ความแข็งแกร่งของแบรนด์
  • แนวโน้มการเติบโต
  • ความสามารถในการขยายธุรกิจ (Scalability)
  • ความต้องการของตลาดสำหรับสินค้าในกลุ่มนั้น

สิ่งที่ผู้ประกอบการสามารถทำได้เพื่อเพิ่มมูลค่า

  1. เตรียมร้านให้พร้อมสำหรับการขาย
    การวางแผน “Exit” ล่วงหน้า ช่วยให้สามารถจัดระบบให้พร้อมสำหรับการส่งต่อกิจการควรมองหาที่ปรึกษาที่เหมาะสม ประเมินมูลค่าอย่างแม่นยำ ทำให้ตรงตามมาตรฐาน และเข้าใจบริบทการเข้าซื้อกิจการ (Acquisition Landscape) ให้ดี
  2. ลดการพึ่งพาตัวเจ้าของกิจการ
    ธุรกิจที่ต้องพึ่งเจ้าของสูงเกินไป มักถูกมองว่าโอนกิจการได้ยาก ผู้ซื้อจึงให้มูลค่าต่ำควรเริ่มมอบหมายหรือจ้างงานบางส่วนให้ทีมงานหรือ outsource พร้อมจัดทำเอกสารขั้นตอนการทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เจ้าของใหม่สามารถรับช่วงได้อย่างราบรื่น
  3. ตรวจสอบ SEO ของเว็บไซต์
    หากเว็บไซต์ของคุณพึ่งพาทราฟฟิกจากการค้นหา ควรดำเนินการ ตรวจสอบ SEO ด้านเทคนิค (Technical SEO Audit) เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้พลาดโอกาสจากคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพ หรือเนื้อหาที่สามารถเพิ่มทราฟฟิกได้อีกการมีโครงสร้าง SEO ที่ดีไม่เพียงเพิ่มยอดเข้าชม แต่ยังช่วยดึงลูกค้าที่ “พร้อมซื้อ” เข้าสู่หน้าเว็บไซต์โดยตรง
  4. อัปเดตโซเชียลมีเดียให้พร้อมใช้งาน
    แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, Instagram, TikTok และ LINE มีบทบาทสำคัญกับอีคอมเมิร์ซไทยการมีโปรไฟล์ที่อัปเดตและสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ แสดงให้ผู้ซื้อเห็นว่าคุณมี ช่องทางการตลาดและบริการลูกค้า ที่หลากหลายและพร้อมขยายหากสามารถแสดงให้เห็นว่าระบบซัพพอร์ตลูกค้าของคุณ สามารถถ่ายโอนได้ง่ายและพร้อมขยาย (transferable & scalable) จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและมูลค่าของกิจการได้มากขึ้น

จัดระเบียบสินค้าคงคลังให้พร้อมก่อนขายกิจการ

ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สินค้าถือเป็นศูนย์กลางของการดำเนินธุรกิจและเป็นต้นทุนที่สำคัญที่สุด หากไม่มีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมส่งผลกระทบต่อยอดขายและความพึงพอใจของลูกค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สิ่งที่ควรดำเนินการ:

  • จัดระเบียบสต๊อกและวางแผนให้สอดคล้องกับฤดูกาล
    ธุรกิจควรมีระบบจัดการสินค้าที่ช่วยให้รู้ว่าช่วงใดคือ “ฤดูกาลพีค” ของสินค้าแต่ละกลุ่ม และวางแผนสต๊อกให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดของขาดหรือของค้าง
  • หลีกเลี่ยงการสูญเสียยอดขายจากสินค้าหมดสต๊อก
    หากลูกค้าเข้ามาเจอแต่สินค้าที่หมด จะลดโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำ และทำให้มูลค่าธุรกิจในสายตาผู้ซื้อกิจการลดลง
    **แนะนำให้ซ่อนหรือจำกัดการมองเห็นของสินค้าที่หมดจากหน้าร้าน เช่น นำไปแสดงในตำแหน่งล่างสุด หรือใช้ระบบ inventory ที่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าหากสินค้ากำลังจะหมด
  • ว่าจ้างคนดูแลคลังสินค้าโดยเฉพาะ
    หากเจ้าของต้องบริหารทุกอย่างด้วยตนเอง การดูแลคลังสินค้าอาจกลายเป็นภาระที่ทำให้ขาดประสิทธิภาพ การมีผู้ดูแลคลังสินค้าโดยเฉพาะจะช่วยลดความผิดพลาด เช่น การสั่งสินค้าซ้ำ หรือของหมดโดยไม่รู้ตัว
  • ปรับปรุงหน้าแสดงสินค้าให้ทันสมัยอยู่เสมอ
    ภาพสินค้า คำอธิบาย และปุ่ม “สั่งซื้อ” (CTA) ควรออกแบบให้ชัดเจน กระตุ้นให้ผู้ชมคลิก “เพิ่มลงตะกร้า” ได้ง่าย
    หากยอดสั่งซื้อบางสินค้าต่ำ อาจเกิดจากหน้าแสดงสินค้าขาดความน่าสนใจ หรือข้อมูลไม่ชัดเจน ควรอัปเดตและทดลองปรับเปลี่ยนจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

เตรียมงบการเงินให้เรียบร้อยก่อนประกาศขายกิจการ

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยคือ เจ้าของกิจการไม่มีระบบบัญชีที่จัดเก็บข้อมูลไว้อย่างชัดเจนและตรวจสอบได้ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการประเมินมูลค่าธุรกิจ

แนวทางที่ควรดำเนินการ:

  • จัดทำบัญชีอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้
    การมีเอกสารการเงินที่ครบถ้วน เช่น งบกำไรขาดทุน รายงานบัญชีแยกประเภท รายการยอดขาย ฯลฯ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
    โปรแกรมบัญชี เช่น QuickBooks, PEAK หรือ FlowAccount ที่ใช้งานแพร่หลายในไทย จะช่วยลดภาระของเจ้าของกิจการ และทำให้ข้อมูลมีความเป็นระบบ
  • เข้าใจภาพรวมทางการเงินของธุรกิจอย่างชัดเจน
    เจ้าของควรทราบที่มาของรายได้ ต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และกำไรสุทธิในแต่ละเดือน เพื่อเตรียมพร้อมตอบคำถามจากผู้ซื้อ และวิเคราะห์จุดแข็งของกิจการได้ชัดเจน
  • เตรียมเอกสารประกอบสำหรับการตรวจสอบ (Due Diligence)
    ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนเจรจาขาย ควรจัดเตรียมเอกสารทางการเงินทั้งหมดไว้ในที่เดียว เช่น:
    • รายการเดินบัญชีธนาคารรายเดือน
    • ใบแจ้งยอดจากบัตรเครดิต/เกตเวย์ชำระเงิน (Omise, ShopeePay ฯลฯ)
    • รายการใบกำกับภาษีซื้อ-ขาย
    • รายงานสินค้าคงคลังและใบเสร็จจากผู้จัดจำหน่าย
  • เตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินด้วย DCF (Discounted Cash Flow)
    หากธุรกิจมีผลประกอบการต่อเนื่อง การวิเคราะห์มูลค่าโดยใช้วิธี DCF จะช่วยสะท้อนศักยภาพการทำกำไรในระยะยาว และดึงดูดนักลงทุนที่มองหาอัตราผลตอบแทน (IRR) ที่ชัดเจน

ผู้ซื้อกิจการจะต้องเข้าถึงระบบข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในการจัดทำงบการเงิน เช่น โปรแกรมบัญชี ระบบสต๊อก บัญชีร้านค้า และระบบรับชำระเงิน เพื่อทำ Due Diligence อย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจลงทุน

จัดการสินทรัพย์ดิจิทัลและข้อมูลลูกค้าให้เป็นระบบ

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าการขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คือ ข้อมูลดิจิทัลและฐานลูกค้า เพราะสิ่งเหล่านี้แสดงถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจและความพร้อมในการส่งต่อให้กับเจ้าของรายใหม่

ระบบอีเมลมาร์เก็ตติ้ง (Email Marketing)

หากคุณใช้เครื่องมืออย่าง Mailchimp, GetResponse, ActiveCampaign หรือระบบ CRM ควรตรวจสอบประสิทธิภาพของแคมเปญ เช่น:

  • อัตราการเปิดอ่าน (Open Rate)
  • อัตราการคลิก (Click-Through Rate)
  • จำนวนการซื้อซ้ำจากอีเมล
  • ระบบอัตโนมัติหลังการสั่งซื้อ เช่น การแจ้งชำระ-จัดส่ง-รีวิวสินค้า

การมีข้อมูลเหล่านี้อย่างชัดเจนจะช่วยให้ผู้ซื้อเห็นถึงศักยภาพในการสื่อสารและบริหารลูกค้าในระยะยาว

ข้อมูลลูกค้า (Customer Data)

ควรจัดระเบียบและเตรียมข้อมูลลูกค้าไว้เป็นหมวดหมู่ เช่น:

  • จำนวนลูกค้าทั้งหมด และสัดส่วนลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ
  • การล้างรายชื่อลูกค้าที่ไม่มีการตอบสนองมานาน
  • การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามประเภทพฤติกรรมการซื้อ

บัญชีโซเชียลมีเดีย

  • อัปเดตภาพลักษณ์แบรนด์และความถี่ในการโพสต์ให้สม่ำเสมอ
  • จดบันทึกข้อมูลเชิงสถิติ เช่น ยอดผู้ติดตาม การมีส่วนร่วม (Engagement Rate) ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ซื้อเห็นว่าช่องทางโซเชียลมีบทบาทต่อยอดขายจริง

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการขายกิจการ (M&A Advisor)

  • ประเมินมูลค่าธุรกิจอย่างมืออาชีพ
    ช่วยให้คุณไม่ตั้งราคาต่ำเกินไป หรือสูงเกินจริงจนขายไม่ได้
  • เตรียมธุรกิจให้พร้อมเข้าสู่ตลาด
    เช่น ตรวจสอบความเรียบร้อยของงบการเงิน จุดอ่อน-จุดแข็งของระบบ และเอกสารต่าง ๆ
  • ค้นหาผู้ซื้อที่ผ่านการคัดกรอง (Pre-vetted Buyers)
    บริษัทที่มีฐานข้อมูลผู้ลงทุน เช่น เครือข่ายของ FE International ที่มีมากกว่า 80,000 ราย
  • ดูแลกระบวนการทั้งหมดจนถึงปิดดีล
    ตั้งแต่จัดทำข้อมูลการตลาด, เจรจาต่อรอง, ตรวจสอบข้อมูล (Due Diligence), ทำสัญญา และโอนทรัพย์สิน

ข้อดีของการใช้ที่ปรึกษา M&A:

  • ขายได้ในมูลค่าสูงกว่าการขายเอง
  • ลดภาระเจ้าของกิจการในกระบวนการที่ซับซ้อน
  • การันตีความปลอดภัยของข้อมูลและทรัพย์สินระหว่างการเจรจา
  • ลดความเสี่ยงจากการขายไม่สำเร็จหรือถูกเจรจาราคาต่ำ

ข้อควรพิจารณา:

  • ค่าธรรมเนียม: ที่ปรึกษามืออาชีพมักคิดค่าบริการ ประมาณ 10–15% ของราคาขาย และเรียกเก็บเมื่อปิดการขายสำเร็จเท่านั้น
  • เกณฑ์ขั้นต่ำของธุรกิจที่รับดูแล: ธุรกิจที่จะใช้บริการ M&A Advisor ส่วนใหญ่ต้องมีรายได้หรือกำไรขั้นต่ำตามที่บริษัทกำหนด เพื่อให้เหมาะสมกับฐานผู้ซื้อที่มีคุณภาพ

ทางเลือกในการขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: แบบไหนเหมาะกับคุณ?

การขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีหลายช่องทางให้เลือก โดยแต่ละแบบมีข้อดี ข้อจำกัด และความเหมาะสมที่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจ เป้าหมายของผู้ขาย และความพร้อมในด้านข้อมูลทางการเงินหรือเครือข่ายนักลงทุน

  1. การขายผ่าน Marketplace
    ในประเทศไทย มีแพลตฟอร์มประกาศขายธุรกิจออนไลน์ เช่น Flippa, WebsiteBroker, หรือ Acquisitions.co.th ซึ่งเปิดให้เจ้าของร้านสามารถลงประกาศขายธุรกิจของตนได้โดยจ่ายค่าธรรมเนียมเริ่มต้นไม่สูงนักอย่างไรก็ตาม แม้จะมีทราฟฟิกผู้เข้าชมจำนวนมาก แต่ผู้ซื้อที่ “มีคุณภาพ” และพร้อมปิดดีลจริงมีจำนวนน้อยกว่าที่คาดไว้Marketplace เหล่านี้มักเก็บ ค่าคอมมิชชั่นเมื่อขายสำเร็จประมาณ 10–15% ของราคาขาย ซึ่งใกล้เคียงกับค่าที่ปรึกษา M&A แต่ไม่มีบริการด้านเอกสาร การเจรจา หรือการคัดกรองผู้ซื้อใด ๆเหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็ก หรือธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น (Pre-revenue) ซึ่งมูลค่าการขายไม่สูงมาก
  2. การขายผ่านระบบประมูล (Auction Sites)
    ระบบประมูล เช่น ฟังก์ชันหนึ่งของ Flippa หรือเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้รูปแบบใกล้เคียงกับ eBay สำหรับธุรกิจออนไลน์ผู้ขายสามารถกำหนดช่วงเวลาในการประมูล และราคาขั้นต่ำ จากนั้นปล่อยให้ตลาดเป็นผู้กำหนดราคาวิธีนี้อาจดูน่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการขายเร็ว แต่หากคุณมีร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่มียอดขายต่อเนื่องและฐานลูกค้าชัดเจน วิธีนี้อาจทำให้ธุรกิจของคุณถูกประเมินต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น และไม่มีการควบคุมความเสี่ยงได้เพียงพอ
  3. การขายตรงให้กับผู้ซื้อ (Direct Sales)
    การขายตรงโดยไม่ผ่านตัวกลาง อาจดูน่าสนใจเพราะไม่มีค่าคอมมิชชั่น แต่ในทางปฏิบัติอาจ ใช้เวลานาน เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และอาจได้ราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงผู้ขายจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการเจรจา การเตรียมเอกสารทางบัญชี-กฎหมาย และต้องมีเครือข่ายนักลงทุนที่ไว้ใจได้เหมาะกับผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์สูงในการขายธุรกิจ และเคยปิดดีลกับนักลงทุนรายใหญ่ได้สำเร็จมาแล้วเท่านั้น

ตารางเปรียบเทียบทางเลือกในการขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ด้านล่างคือสรุปข้อแตกต่างหลักระหว่างวิธีการขายแต่ละรูปแบบ เพื่อช่วยให้คุณประเมินได้ว่าวิธีใดเหมาะกับสถานการณ์ของคุณมากที่สุด

เข้าใจทางเลือกด้านการจัดหาเงินทุนในการขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

สำหรับเจ้าของกิจการอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ การขายธุรกิจพร้อมรับเงินสดเต็มจำนวนในครั้งเดียวถือเป็นรูปแบบที่น่าพึงพอใจที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อจำนวนมากมักไม่สามารถหรือไม่ต้องการใช้วิธีนี้ จึงจำเป็นต้องมีการใช้รูปแบบการจัดหาเงินทุนที่สร้างสรรค์ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้อย่างเป็นธรรม

  1. การซื้อด้วยเงินสด (Cash Purchase)
    การชำระด้วยเงินสดยังคงเป็นรูปแบบหลักของการซื้อกิจการ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ซื้อมีสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ในบัญชีธนาคาร อย่างไรก็ตาม หากราคาธุรกิจเกินกว่าวงเงินที่มี ผู้ซื้ออาจใช้วิธีระดมทุนหรือกู้ยืมเพิ่มเติม เช่น:
    • การถอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
    • การขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินที่สนับสนุนธุรกิจ SME
    • การชวนพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน
    • การใช้แพลตฟอร์มระดมทุนออนไลน์ (peer-to-peer lending) เช่น PeerPower หรือ Jitta Wealth
  2. การให้เครดิตโดยผู้ขาย (Seller Financing)
    วิธีนี้ช่วยให้ผู้ซื้อจ่ายเงินบางส่วนในวันโอนกิจการ และทยอยชำระส่วนที่เหลือในระยะเวลาที่ตกลงไว้ โดยใช้กระแสเงินสดจากกิจการเป็นหลักประกัน ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องยุ่งกับเอกสารและขั้นตอนของธนาคารแต่ทั้งนี้ ผู้ขายควรถือครองหลักประกันบางอย่างไว้จนกว่าผู้ซื้อจะชำระเงินครบ และผู้ซื้อควรประเมินกระแสเงินสดในอนาคตอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
  3. การจ่ายตามผลการดำเนินงาน (Earn-Out)
    ในข้อตกลงแบบ Earn-Out ผู้ซื้อจะชำระเงินให้ผู้ขายตามสัดส่วนรายได้หรือกำไรที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต เช่น เป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส ข้อตกลงนี้มักใช้กับกิจการที่ยังใหม่หรือมีกระแสเงินสดไม่แน่นอน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ขายมีแรงจูงใจในการช่วยผลักดันธุรกิจหลังการขายอย่างไรก็ตาม การทำ Earn-Out มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะกับผู้ขาย จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าผู้ซื้อมีศักยภาพในการบริหารธุรกิจหรือไม่ และควรกำหนดระยะเวลาของข้อตกลงอย่างชัดเจน
  4. การสงวนเงินบางส่วนไว้ (Holdback)
    ในบางกรณี ผู้ซื้อจะกันเงินส่วนหนึ่งไว้หลังจากโอนกิจการ เพื่อรอให้ผู้ขายปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการให้ครบ เช่น:
    • การรักษาพนักงานให้อยู่ต่ออย่างน้อย 6 เดือน
    • การรักษายอดขายเฉลี่ยตามเป้าหมาย
    • การไม่มีปัญหาคืนสินค้า (refund) เกินมาตรฐานที่ตกลงกันไว้

ข้อตกลงประเภทนี้ช่วยลดความเสี่ยง แต่ก็อาจนำไปสู่ข้อโต้แย้งในภายหลังหากไม่ได้กำหนดรายละเอียดไว้ชัดเจน

บทสรุป: การขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างมั่นใจและคุ้มค่

การขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเจ้าของกิจการ ไม่ว่าคุณจะขายเพื่อเริ่มต้นธุรกิจใหม่ เพื่อเกษียณ หรือเปลี่ยนเส้นทางชีวิต การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้คุณขายได้ในมูลค่าที่เหมาะสม และส่งต่อกิจการให้ผู้ซื้ออย่างมั่นใจ ทีมที่ปรึกษาด้าน M&A ของเราสามารถเจรจาปิดดีลได้อย่างประสบความสำเร็จ

หากคุณต้องการประเมินมูลค่าธุรกิจเบื้องต้นหรือคำแนะนำเฉพาะทางเกี่ยวกับการขายกิจการ สามารถติดต่อทีมที่ปรึกษา MAX Solutions ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

📩 Line: @maxsolutions
📧 Email: Chatpongl@maxsolutions.co.th
📞 โทร: 089 776-4545

หากคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้กลายเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่

Scroll to Top