Sell Your Business Today

ขายธุรกิจของคุณวันนี้

การประเมินมูลค่าร้านอาหาร  จุดเริ่มต้นสำคัญของกระบวนการขาย

การตัดสินใจขายร้านอาหารถือเป็นเรื่องสำคัญที่ควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบ โดยหนึ่งในสาเหตุหลักที่พบได้บ่อย คือความจำเป็นในการลดภาระจากผลขาดทุนสะสมอันเกิดจากปัญหาทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระหว่างปี 2563–2564 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจร้านอาหารทั่วประเทศ

มีการประเมินว่า ร้านอาหารในประเทศไทยราว 20–30% ต้องปิดกิจการชั่วคราวหรือเผชิญปัญหาทางการเงินในระดับรุนแรง

ในขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการบางรายอาจมีแผนเกษียณ หรือกำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ การขายกิจการจึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าเหตุผลของการขายจะเป็นอย่างไร การเตรียมการอย่างรัดกุมและมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถขายกิจการได้ในราคาที่เหมาะสม และดึงดูดผู้ซื้อที่มีศักยภาพตรงตามเป้าหมาย

ความสำคัญของการประเมินมูลค่าธุรกิจอย่างแม่นยำ

การประเมินมูลค่ากิจการอย่างถูกต้องเป็นพื้นฐานสำคัญของการขายที่มีประสิทธิภาพ หากตั้งราคาสูงเกินไป อาจไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อได้ ในทางกลับกัน หากประเมินต่ำเกินไป อาจทำให้เจ้าของกิจการเสียโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม

ในอุตสาหกรรมร้านอาหารซึ่งมีการแข่งขันสูง การกำหนดมูลค่าทางธุรกิจที่เหมาะสมจะช่วยให้ร้านของท่านมีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น และยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ซื้อว่า
แม้จะต้องรับภาระต้นทุนประจำของธุรกิจร้านอาหารตามปกติ กิจการของท่านยังคงแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการเงินอย่างเป็นระบบ

วิธีประเมินมูลค่าร้านอาหารของคุณอย่างแม่นยำ

มีหลายวิธีที่นิยมใช้ในการประเมินมูลค่าร้านอาหาร โดยแต่ละวิธีเหมาะกับลักษณะกิจการและโครงสร้างทางการเงินที่แตกต่างกันของแต่ละร้าน

1. วิธีคำนวณตามรายได้สุทธิที่เจ้าของมีสิทธิใช้จ่าย (Seller’s Discretionary Earnings – SDE) วิธีนี้ประเมินจาก ผลประโยชน์ทางการเงินที่เจ้าของใหม่จะได้รับโดยตรงจากกิจการ ขั้นตอนเริ่มจากการนำ กำไรสุทธิ ที่ระบุในงบกำไรขาดทุนมาพิจารณา แล้ว บวกกลับ รายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในอนาคต เช่น

  • เงินเดือนและสวัสดิการของเจ้าของเดิม
  • ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
  • ภาษี
  • ค่าเสื่อมราคา
  • ค่าตัดจำหน่าย

วัตถุประสงค์คือการคำนวณ กระแสเงินสดสุทธิที่แท้จริง ซึ่งเจ้าของใหม่จะสามารถนำไปใช้ได้หลังหักค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ตัวอย่าง:
หากร้านของคุณมีกำไรสุทธิ 1.5 ล้านบาทต่อปี บวกกลับเงินเดือนเจ้าของ 1.8 ล้านบาท ค่าปรับปรุงร้านแบบครั้งเดียว 600,000 บาท และดอกเบี้ยเงินกู้ 300,000 บาท จะได้ SDE รวม 4.2 ล้านบาท หากร้านอาหารในพื้นที่ขายกันที่ 2.5 เท่าของ SDE ร้านของคุณอาจมีมูลค่าประเมินอยู่ที่ประมาณ 10.5 ล้านบาท
หมายเหตุ: ตัวคูณมูลค่า (Multiple) อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามทำเล สภาวะตลาด และแนวโน้มของอุตสาหกรรม

2. วิธีคำนวณตาม EBITDA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization) EBITDA มักใช้กับร้านอาหารขนาดกลางถึงใหญ่ หรือร้านที่มีระบบการบริหารจัดการเป็นมืออาชีพ ซึ่งเจ้าของไม่จำเป็นต้องเข้ามาดูแลกิจการด้วยตนเอง วิธีนี้แสดงถึง ศักยภาพการทำกำไรที่แท้จริงของกิจการ โดยตัดรายการที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานประจำออกไป เช่น ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
สูตรคือ: EBITDA = กำไรสุทธิ + ดอกเบี้ย + ภาษี + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
ตัวอย่าง:
หากร้านของคุณมี EBITDA 3 ล้านบาท และร้านในกลุ่มเดียวกันขายกันที่ 3 เท่าของ EBITDA
มูลค่าร้านของคุณอาจอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านบาท

3. วิธีประเมินตามมูลค่าทรัพย์สิน (Asset-Based Valuation) สำหรับร้านที่ไม่มีกำไรอย่างต่อเนื่อง หรืออยู่ในช่วงขาดทุน การประเมินโดยดูจากมูลค่าทรัพย์สินที่มีอยู่ อาจเป็นแนวทางที่เหมาะสม ทรัพย์สินที่สามารถนำมาประเมินได้ เช่น:

  • อุปกรณ์ในครัว
  • เฟอร์นิเจอร์
  • ระบบตกแต่งภายในร้าน
  • โครงสร้างและปรับปรุงพื้นที่เช่า

ตัวอย่าง:
หากประเมินมูลค่าอุปกรณ์ เครื่องมือ และทรัพย์สินถาวรได้ 1.5 ล้านบาท จำนวนนั้นจะกลายเป็น “ราคาพื้นฐาน” ที่สามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเจรจาขายกิจการ
หากกิจการของคุณมีผลกำไรที่ชัดเจน ฐานลูกค้าแน่น และอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง การใช้วิธี SDE หรือ EBITDA มักสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้ดีที่สุดแต่ในกรณีที่ผลประกอบการไม่ต่อเนื่องหรือมีความไม่แน่นอนสูง การใช้วิธีประเมินตามทรัพย์สินอาจเหมาะสมกว่าในเชิงปฏิบัติ ทีมที่ปรึกษาของ MAX Solutions พร้อมช่วยคุณเลือกแนวทางการประเมินที่เหมาะสมที่สุดกับลักษณะกิจการของคุณ เพื่อให้สามารถกำหนดราคาขายได้อย่างมั่นใจ และสอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดไทยในปัจจุบัน

4 ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อมูลค่าร้านอาหาร

ในการประเมินมูลค่าร้านอาหาร มีหลายปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาสุดท้ายที่สามารถขายได้ โดยเฉพาะ ทำเล รายได้ แนวโน้มตลาด และ ลักษณะของกิจการ

1. ทำเลที่ตั้ง
ทำเลคือปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ผู้ซื้อพิจารณา หากร้านของคุณตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ เช่น ใกล้แหล่งชุมชน ออฟฟิศ ย่านการค้า หรือสถานที่ท่องเที่ยวย่อมสามารถตั้งราคาขายได้สูงกว่าร้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือเข้าถึงยาก การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก็มีความสำคัญเช่นกัน ข้อมูลจากอุตสาหกรรมร้านอาหารระบุว่า ลูกค้ากว่า 85% มักอาศัยอยู่ในรัศมีไม่เกิน 3–5 กิโลเมตรจากร้าน

2. ความสามารถในการทำกำไร
ร้านที่แสดงผลประกอบการเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอ และมีกระแสเงินสดที่มั่นคง
จะได้รับความสนใจจากผู้ซื้อสูงเป็นพิเศษ เพราะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และลดความเสี่ยงสำหรับผู้ซื้อใหม่
กิจการที่มีประวัติการทำกำไรที่ชัดเจนมักสามารถเจรจาราคาขายได้สูงกว่า เนื่องจากผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องลงทุนหรือปรับปรุงกิจการมากนักในช่วงเริ่มต้น

3. สภาวะตลาดและแนวโน้มอุตสาหกรรม
ความนิยมของรูปแบบร้านอาหารมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น ร้านประเภท Quick-Service หรือร้านที่เน้นการติดตามและปรับตัวตามแนวโน้มอุตสาหกรรม เช่น พฤติกรรมการสั่งอาหารออนไลน์ หรือเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพสามารถช่วย ให้ร้านของคุณวางตำแหน่งได้ชัดเจนขึ้น และเพิ่มความน่าสนใจในสายตาผู้ซื้อเมื่อถึงเวลาขาย

4. ขนาดและรูปแบบของร้าน
ลักษณะของกิจการและแนวคิดร้าน (Concept) ก็ส่งผลต่อมูลค่าที่ประเมินได้
ร้านอาหารแบบบริการเต็มรูปแบบที่มีใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรม อาจได้รับการประเมินมูลค่าสูงกว่าร้านขนาดเล็กหรือร้านแบบคาเฟ่ทั่วไปผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยยังให้ความสนใจกับร้านที่มีแนวคิดเฉพาะทางหรือนำเสนอสิ่งที่แตกต่างในตลาดมากกว่าร้านที่ใช้โมเดลทั่วไปหรือไม่มีจุดเด่นชัดเจน การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถวางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ร้านอาหารได้ตั้งแต่ช่วงก่อนขาย เช่น การยกระดับภาพลักษณ์ ปรับรูปแบบการบริการ หรือเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มเติบโต หากคุณต้องการประเมินมูลค่าร้านอาหารของคุณอย่างแม่นยำ พร้อมคำแนะนำแบบเจาะลึก ทีมที่ปรึกษาจาก MAX Solutions พร้อมให้ความช่วยเหลือในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณสามารถกำหนดราคาขายได้อย่างมั่นใจและแข่งขันได้ในตลาดจริง

เช็กลิสต์ก่อนขายร้านอาหาร: เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ขั้นตอนเจรจา

ก่อนจะประกาศขายร้านอาหารหรือเริ่มเจรจากับผู้ซื้อ เจ้าของกิจการควรเตรียมเอกสารด้านการเงินและกฎหมายให้ครบถ้วน รวมถึงดูแลสภาพร้านให้พร้อมทั้งภายนอกและภายใน การมีทีมที่ปรึกษาที่เหมาะสม เช่น นายหน้า นักบัญชี และทนายความ จะช่วยให้กระบวนการขายราบรื่น และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้ในราคาที่ดีที่สุด

1. ตรวจสอบสุขภาพทางการเงินของร้านอาหาร
หนึ่งในสิ่งแรกที่ผู้ซื้อจะขอพิจารณาคือ งบการเงินของกิจการ เพราะเป็นหลักฐานแสดงความมั่นคงทางการเงินของร้านอย่างชัดเจน

  • เริ่มต้นจากการตรวจสอบงบกำไรขาดทุน (P&L) ย้อนหลังอย่างน้อย 2–3 ปี เพื่อให้ผู้ซื้อเห็นภาพรวมของรายได้ ต้นทุน และกำไร
  • ตรวจสอบงบดุล (Balance Sheet) ซึ่งแสดงมูลค่าทรัพย์สิน หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ เพื่อให้ผู้ซื้อประเมินสิ่งที่ร้านเป็นเจ้าของ (เช่น อุปกรณ์และสต๊อกสินค้า) และภาระที่ร้านยังคงมี (เช่น เงินกู้หรือหนี้ค้างชำระ)
  • รายงานกระแสเงินสด (Cash Flow) ควรพร้อมใช้งาน เพื่อให้เห็นการหมุนเวียนของเงินสดเข้าออกในธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงและความเสี่ยงในการดำเนินงานหลังการขาย

นอกจากจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนแล้ว ควรจัดระเบียบข้อมูลให้ชัดเจน เช่น แยกหมวดหมู่รายจ่ายให้ถูกต้อง และตรวจสอบให้แบบแสดงรายการภาษีของร้านอัปเดตครบถ้วน

2. เตรียมความเรียบร้อยของตัวร้านทั้งภายในและภายนอกความประทับใจแรก
มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อโดยตรง ดังนั้นควรตรวจสอบและปรับปรุงภาพลักษณ์ร้านให้ดูดีและสะอาดเรียบร้อย

  • ภายนอกร้าน: เก็บกวาดเศษขยะ ปรับภูมิทัศน์ จัดการต้นไม้ที่รกให้เรียบร้อย ทำความสะอาดป้ายร้าน และตรวจสอบให้ไฟส่องสว่างชัดเจน หากมีลานจอดรถ ควรปรับพื้นให้เรียบ ไม่มีหลุมหรือรอยแตก
  • ภายในร้าน: จัดเก็บพื้นที่ให้เป็นระเบียบ ทำความสะอาดอย่างละเอียด โดยเฉพาะบริเวณที่มีคนใช้งานบ่อย เช่น ทางเข้า ห้องน้ำ และบาร์ หากมีผนังหลุดร่อน พื้นแตก หรือหลอดไฟชำรุด ควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนทันที

การปรับปรุงเล็กน้อย เช่น การทาสีใหม่ หรือซ่อมแซมพื้นผิวเสียหาย จะช่วยให้ร้านดูพร้อมใช้งาน และส่งเสริมความมั่นใจให้กับผู้ซื้อในแง่การบำรุงรักษากิจการที่ผ่านมา

3. ตรวจสอบและซ่อมแซมอุปกรณ์ภายในครัว

ก่อนประกาศขาย ควร ตรวจเช็กอุปกรณ์ครัวทั้งหมด เช่น เตาอบ ตู้แช่ เครื่องล้างจาน และระบบต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งาน

  • หากอุปกรณ์บางชิ้นมีปัญหาเล็กน้อย เช่น เทอร์โมสตัทเสีย หรือขอบประตูยางไม่แน่น อาจแก้ไขด้วยการซ่อมแซม
  • แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่ล้าสมัย ใช้พลังงานสิ้นเปลือง หรือมีปัญหาเชิงโครงสร้าง แนะนำให้พิจารณาเปลี่ยนใหม่
  • สำหรับอุปกรณ์ที่มีความสำคัญด้านความปลอดภัย เช่น ระบบดับเพลิง หรือห้องแช่แข็ง ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

ในกรณีที่ต้นทุนการซ่อมหรือเปลี่ยนสูงเกินไป อาจเลือกหักมูลค่าของอุปกรณ์นั้นออกจากราคาขายรวมแทน โดยเฉพาะหากเป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น เตาอบพิซซ่าแบบไม้ หรือระบบเบียร์สด

4. ตรวจสอบเอกสารทางกฎหมายของกิจการ

เอกสารด้านกฎหมายที่ชัดเจนและครบถ้วนจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่า ธุรกิจดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจะไม่เกิดปัญหาภายหลัง ควรตรวจสอบและเตรียมเอกสารต่อไปนี้ให้พร้อม:

  • ใบอนุญาตประกอบกิจการ, ใบอนุญาตอาหาร, ใบอนุญาตจำหน่ายสุรา, ประกันภัยธุรกิจ
  • สัญญาเช่า สัญญาจ้างงานของพนักงาน
  • หนังสือรับประกันอุปกรณ์ต่าง ๆ
  • สัญญาและข้อตกลงกับคู่ค้า

หากเอกสารใดใกล้หมดอายุ ควรดำเนินการต่ออายุให้เรียบร้อยก่อนนำร้านเข้าสู่ตลาด

5. มีทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมวางแผนการขาย

การขายร้านอาหารไม่ใช่เพียงแค่การตั้งราคาขาย แต่ต้องมีทีมที่เข้าใจการซื้อขายกิจการโดยเฉพาะเพื่อให้การเจรจาและกระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น

  • นายหน้าขายธุรกิจ (Business Broker): มีความเชี่ยวชาญในตลาดร้านอาหาร ช่วยประเมินมูลค่า ดึงดูดผู้ซื้อ และต่อรองเงื่อนไขให้เจ้าของกิจการ
  • นักบัญชี (Accountant): ช่วยตรวจสอบเอกสารบัญชี วางแผนภาษี และจัดการรายงานการเงินให้โปร่งใสและเข้าใจง่าย
  • ทนายความ (Attorney): ช่วยร่างและตรวจสอบเอกสารสำคัญ เช่น สัญญาขาย กำหนดการโอนสิทธิ์ และเงื่อนไขการไม่แข่งขันภายหลังขาย

ทีมที่ปรึกษาจาก MAX Solutions พร้อมให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ และจัดเตรียมทีมผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านเพื่อช่วยให้คุณขายกิจการได้อย่างมั่นใจ ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน กฎหมาย และการตลาด

ขั้นตอนการขายร้านอาหาร: วางกลยุทธ์ให้ตรงจุด ปิดการขายอย่างมั่นใจ

เมื่อเตรียมร้านอาหารพร้อมสำหรับการขายแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวางแผนประกาศขาย และดำเนินการทางธุรกิจอย่างเป็นระบบ พื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ซื้อที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีความพร้อมในการลงทุน การสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เครือข่ายธุรกิจ และการเข้าร่วมงานอุตสาหกรรม ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยขยายโอกาสให้การขายของคุณประสบความสำเร็จ

1. สร้างประกาศขายที่ดึงดูดความสนใจ
การประกาศขายร้านอาหารไม่ควรเป็นเพียงข้อความทั่ว ๆ ไป แต่ควรเน้นให้เห็น จุดเด่นที่ทำให้ร้านของคุณแตกต่าง เช่น ประเภทอาหาร บรรยากาศร้าน หรือทำเลที่ตั้ง
เช่น หากร้านของคุณมีจุดขายเป็นเมนูอาหารออร์แกนิกในพื้นที่ที่มีทางเลือกสุขภาพน้อย การเน้นจุดนี้จะช่วยเพิ่ม “คุณค่าที่มองเห็นได้” และดึงดูดผู้ซื้อที่มีเป้าหมายชัดเจนควรใช้ภาพถ่ายคุณภาพสูงแสดงทั้ง ภายนอกและภายในร้าน เพื่อให้ผู้ซื้อเข้าใจภาพรวมของร้าน และจินตนาการถึงศักยภาพการบริหารงานต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น

2. ลงประกาศผ่านช่องทางออนไลน์
การลงประกาศขายร้านอาหารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการเข้าถึงผู้ซื้อในประเทศไทย คุณสามารถใช้เว็บไซต์ตลาดซื้อขายกิจการ เช่น ThaiBizPost, ThaiFranchiseCenter หรือเว็บไซต์ของสมาคมร้านอาหารที่เกี่ยวข้องในการประกาศ ควรระบุข้อมูลสำคัญให้ครบถ้วน ได้แก่:

  • ราคาขาย
  • รายการทรัพย์สินที่รวมอยู่ในดีล (เช่น อุปกรณ์, สต๊อก, สิทธิ์การเช่า)
  • รายละเอียดเงื่อนไขการเช่า เช่น ระยะเวลาที่เหลือในสัญญา ค่าเช่ารายเดือน ฯลฯ

3. ใช้เครือข่ายทางธุรกิจเพื่อกระจายข่าว
การบอกต่อในเครือข่ายธุรกิจที่คุณมีอยู่ เช่น สมาคมร้านอาหาร, กลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่น, หรือพันธมิตรทางการค้าเก่า สามารถเป็นช่องทางการขายที่มีคุณภาพ หากคุณต้องการรักษาความเป็นส่วนตัว เช่น ไม่ต้องการให้พนักงานหรือคู่ค้าเดิมทราบเรื่องการขายในทันที แนะนำให้ทำงานร่วมกับนายหน้าธุรกิจ เพื่อสร้าง “ประกาศแบบไม่เปิดเผยชื่อ” ซึ่งจะจำกัดข้อมูลเฉพาะผู้ซื้อที่ผ่านการคัดกรองเท่านั้น

4. เข้าร่วมงานธุรกิจและกิจกรรมอุตสาหกรรม
งานแสดงสินค้า การประชุมทางธุรกิจ และกิจกรรม Networking มักรวมนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้สนใจธุรกิจร้านอาหารไว้ในที่เดียว ควรตรวจสอบตารางกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมร้านอาหารทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เช่น งาน THAIFEX, งานแฟรนไชส์, หรืองานสัมมนาสำหรับธุรกิจอาหารเฉพาะทาง เช่น ร้านพิซซ่า, เบเกอรี่ หรือร้านกาแฟ การเข้าร่วมงานเหล่านี้ไม่เพียงช่วยกระจายข่าวว่าร้านของคุณพร้อมขาย แต่ยังเป็นโอกาสดีในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ซื้อที่มีเป้าหมายชัดเจน

5. กำหนด “เงื่อนไขขั้นต่ำ” ที่คุณยอมรับได้
ก่อนเข้าสู่การเจรจา ควรกำหนดราคาขั้นต่ำและเงื่อนไขพื้นฐานที่คุณพร้อมจะยอมรับ เช่น หากร้านของคุณมีมูลค่าประเมินประมาณ 10 ล้านบาท และยังมีภาระหนี้อยู่ 2 ล้านบาท คุณอาจตั้งราคาขั้นต่ำที่ 12 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมหนี้และเหลือกำไรจากการขาย ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดร้านอาหารมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เช่น

  • ราคาขายเฉลี่ยลดลงประมาณ 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • รายได้เฉลี่ยในไตรมาส 2 ปี 2567 ลดลง 9% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับจากปลายปี 2565 อย่างไรก็ดี ตลาดร้านอาหารโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเติบโต โดย KResearch คาดการณ์มูลค่าอุตสาหกรรมร้านอาหารปี 2566 จะอยู่ที่ 4.18 – 4.25 ล้านล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 2.7-4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้เป็นแนวอ้างอิงในการกำหนดเงื่อนไขและราคาขั้นต่ำที่มีความสมเหตุสมผล

6. ตรวจสอบสัญญาก่อนลงนาม
สัญญาขายถือเป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดรายละเอียดทุกอย่างของการซื้อขาย รวมถึงราคาซื้อขาย ทรัพย์สินที่รวมในดีล เงื่อนไขการชำระเงิน และข้อกำหนดเฉพาะอื่น ๆ ก่อนเซ็นเอกสารใด ๆ ควรให้ทนายความหรือนายหน้าธุรกิจตรวจสอบรายละเอียดให้ครบถ้วน หากมีข้อตกลงใดไม่สอดคล้องกับที่ตกลงไว้ ควรเจรจาแก้ไขให้ชัดเจนก่อนลงนาม ทนายความ จะช่วยชี้จุดเสี่ยงที่อาจส่งผลเสียในภายหลัง เช่น ข้อความที่ผูกมัดเกินความจำเป็น หรือข้อกำหนดที่อาจก่อให้เกิดความรับผิดชอบหลังจากการโอนกรรมสิทธิ์เสร็จสิ้น ทีมงานจาก MAX Solutions พร้อมให้การสนับสนุนในทุกขั้นตอนของการขาย ตั้งแต่การจัดทำประกาศที่น่าสนใจ เจรจาเงื่อนไข ไปจนถึงตรวจสอบสัญญาอย่างรอบด้าน เพื่อให้คุณสามารถปิดการขายได้อย่างมั่นใจ โปร่งใส และคุ้มค่าที่สุด

สิ่งที่เจ้าของร้านอาหารควรดำเนินการหลังการขายเสร็จสิ้น

แม้ว่าการขายร้านอาหารจะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ยังมีขั้นตอนสำคัญที่เจ้าของกิจการควรดำเนินการเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งในแง่การส่งมอบทรัพย์สิน การจัดการภาระทางภาษี และการแจ้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ดำเนินการส่งมอบกิจการให้แก่ผู้ซื้ออย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การสนับสนุนให้ผู้ซื้อสามารถเข้ารับช่วงกิจการได้อย่างมั่นใจ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร้านยังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากการจัดเตรียมและส่งมอบเอกสารสำคัญต่าง ๆ ได้แก่:

  • งบการเงิน
  • สัญญากับคู่ค้า/ผู้จัดจำหน่าย
  • ข้อมูลพนักงาน
  • รายละเอียดคำสั่งซื้อและการจองที่ยังค้างอยู่

นอกจากนี้ ควรโอนสิทธิ์การเข้าถึงทั้ง ทรัพย์สินภายในร้านและบัญชีระบบออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจให้ครบถ้วน เช่น:

  • กุญแจร้าน
  • รหัสระบบรักษาความปลอดภัย
  • บัญชีระบบ POS
  • โซเชียลมีเดียของร้าน
  • โปรแกรมจองโต๊ะออนไลน์ ฯลฯ

หากร้านยังมีออร์เดอร์จากลูกค้า เช่น การจัดเลี้ยงล่วงหน้า หรือการจองโต๊ะ ควรทำงานร่วมกับผู้ซื้อเพื่อบริหารจัดการคำสั่งเหล่านี้ให้เรียบร้อย เพื่อรักษาระดับบริการตามมาตรฐานเดิม

แจ้งซัพพลายเออร์ พนักงาน และลูกค้าให้รับทราบ

เมื่อการขายเสร็จสิ้นแล้ว ควรแจ้งผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถึงการเปลี่ยนแปลงเจ้าของกิจการอย่างชัดเจน

  • แจ้งผู้จำหน่ายและคู่ค้า: ส่งต่อข้อมูลติดต่อของเจ้าของใหม่ และให้ความมั่นใจว่ารายการสั่งซื้อหรือสัญญาที่มีอยู่จะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
  • แจ้งพนักงาน: อธิบายว่าการเปลี่ยนเจ้าของจะส่งผลต่อการจ้างงาน สวัสดิการ และหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างไร หากสามารถยืนยันตำแหน่งงานเดิมได้ ควรสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา
  • แจ้งลูกค้าประจำ: ใช้ช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือประกาศในร้าน เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงการเปลี่ยนแปลง พร้อมสร้างความมั่นใจว่าร้านยังคงรักษามาตรฐานเดิมทั้งในด้านเมนู บริการ และบรรยากาศ

หากมีแผนพัฒนาเพิ่มเติมจากเจ้าของใหม่ อาจสื่อสารในเชิงบวก เช่น การปรับปรุงคุณภาพบริการหรือเมนูใหม่ ๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลง

ชำระภาษีที่ค้างอยู่ให้ครบถ้วน

ก่อนโอนกรรมสิทธิ์ ควรดำเนินการยื่นภาษีรอบสุดท้ายให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นภาษีรายได้ หรือภาษีท้องถิ่น โดยต้องระบุชัดเจนว่าเป็น การยื่นรอบสุดท้ายก่อนสิ้นสถานภาพกิจการ ตรวจสอบให้แน่ใจว่า:

  • รายได้ทั้งหมดจนถึงวันที่ขายกิจการถูกบันทึกและยื่นภาษีครบถ้วน
  • ภาษีเงินเดือน เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ประกันสังคม และภาษีท้องถิ่น ถูกชำระถูกต้อง

หากไม่แน่ใจว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร แนะนำให้ปรึกษานักบัญชีหรือที่ปรึกษาด้านภาษี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาในภายหลัง แม้คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการแล้ว แต่ยังคงต้องรับผิดชอบภาษีที่เกิดขึ้นก่อนวันโอนสิทธิ์

สรุป: การขายร้านอาหารให้สำเร็จอย่างมืออาชีพ

การขายร้านอาหารคือกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการการวางแผนล่วงหน้าในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การประเมินมูลค่าธุรกิจ การเตรียมเอกสารและทรัพย์สิน ไปจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์อย่างเป็นทางการ การแสดงให้ผู้ซื้อเห็นว่าธุรกิจของคุณมีความเป็นระเบียบ และดำเนินงานอย่างโปร่งใส จะช่วยสร้างความมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้ในราคาที่เหมาะสม

หากคุณต้องการทีมที่สามารถดูแลคุณครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมข้อมูล การเจรจา ไปจนถึงการปิดดีลอย่างมั่นใจ ทีมที่ปรึกษาจาก MAX Solutions พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ของคุณ เพื่อให้การขายร้านอาหารเป็นเรื่องง่ายและคุ้มค่าที่สุดติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาเชิงลึกโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นได้ที่ 

Line @maxsolutions 

Email: Chatpongl@maxsolutions.co.th 

หมายเลขโทรศัพท์ 089 776-4545 

หากคุณพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้กลายเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่

Scroll to Top