Sell Your Business Today

คู่มือขายธุรกิจการผลิต: วางกลยุทธ์ให้ขายได้คุ้มค่า

คุณได้ทุ่มเทสร้างธุรกิจการผลิตขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่าง และวันนี้คุณกำลังมองหาจุดเปลี่ยน…เพื่อ “ก้าวออกอย่างมั่นใจ” และได้รับผลตอบแทนที่สมกับความพยายามที่ผ่านมา

คู่มือฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเจ้าของกิจการเช่นคุณโดยเฉพาะ — ไม่ว่าคุณจะต้องการ ประเมินมูลค่าธุรกิจอย่างแม่นยำ, หากลุ่มผู้ซื้อที่ใช่, หรือ วางแผนการขายให้สำเร็จและคุ้มค่าที่สุด

เราได้รวบรวมข้อมูลและกลยุทธ์จากประสบการณ์จริงในตลาด เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจเส้นทางข้างหน้าอย่างรอบด้าน พร้อมทั้งเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกขั้นตอนในการส่งต่อธุรกิจของคุณอย่างมืออาชีพ

วิธีการประเมินมูลค่าธุรกิจที่ใช้กันโดยทั่วไป มีดังนี้:

  • วิธีตามรายได้ (Income-Based Methods)
    เช่น การวิเคราะห์กระแสเงินสดลดค่า (Discounted Cash Flow: DCF) หรือการคิดจากอัตราผลตอบแทนที่คาดการณ์ (Capitalization of Earnings) ซึ่งมักใช้กับธุรกิจที่มีกำไรต่อเนื่อง
  • วิธีตามมูลค่าทางบัญชี (Asset-Based Methods)
    เหมาะกับธุรกิจที่ยังไม่ทำกำไรหรือไม่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว โดยคำนวณจากสินทรัพย์ที่มีอยู่และประเมินตามมูลค่าทางบัญชีหรือตลาด (Book Value)
  • วิธีเปรียบเทียบกับธุรกิจในตลาด (Market-Based Methods)
    ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว เป็นวิธีที่เจ้าของธุรกิจและนักลงทุนส่วนใหญ่ใช้มากที่สุด โดยเทียบกับธุรกิจลักษณะเดียวกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น ขนาดกิจการ, กลุ่มลูกค้า, หรือกำไรสุทธิที่ใกล้เคียงกัน

การประเมินมูลค่าที่ดี ไม่เพียงช่วยให้คุณตั้งราคาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ และช่วยให้กระบวนการเจรจาดำเนินไปอย่างราบรื่น

การประเมินมูลค่าธุรกิจการผลิตในประเทศไทย: แนวทางและตัวอย่าง

1. การประเมินมูลค่าธุรกิจในประเทศไทย

การประเมินมูลค่าธุรกิจในประเทศไทยสามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่นิยมใช้ ได้แก่:

  • วิธีการประเมินมูลค่าจากกำไรสุทธิ (P/E Ratio): การนำราคาหุ้นหารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น เพื่อประเมินว่าหุ้นมีราคาสูงหรือต่ำเมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัทสร้างได้  
  • วิธีการประเมินมูลค่าจากมูลค่าทางบัญชี (P/BV Ratio): การเปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น เพื่อดูว่าหุ้นมีราคาสูงหรือต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท 
  • วิธีการประเมินมูลค่าจากกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow – DCF): การคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตที่ธุรกิจคาดว่าจะได้รับ 

2. ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนและกำไร การคำนวณต้นทุนและกำไรเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินมูลค่าธุรกิจ ตัวอย่างเช่น:

  • หากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าเช่า ควรนำมารวมในการคำนวณต้นทุนทั้งหมด เพื่อให้ได้ราคาขายที่เหมาะสมและไม่ขาดทุน .
  • หากต้นทุนการผลิตสินค้าหนึ่งชิ้นอยู่ที่ 1,000 บาท และต้องการกำไร 200 บาท ราคาขายควรตั้งไว้ที่ 1,200 บาท . 

ตัวชี้วัดทางการเงินในการประเมินมูลค่าธุรกิจการผลิต

ธุรกิจการผลิตโดยเฉลี่ย ขายได้ที่ประมาณ 3 เท่าของกำไรสุทธิ จากข้อมูลสถิติพบว่า ธุรกิจการผลิตที่มีกำไรสุทธิต่อปีอยู่ที่ประมาณ 7.5 แสนบาท มักขายได้ในราคาประมาณ 2.25 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับประมาณ 3 เท่าของกำไรสุทธิ (SDE หรือ Seller’s Discretionary Earnings)

อย่างไรก็ตาม ไม่มี “ธุรกิจเฉลี่ย” จริง ๆ ในโลกความเป็นจริง มูลค่าที่แท้จริงของแต่ละกิจการจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะเฉพาะ เช่น ฐานลูกค้า เสถียรภาพทางการเงิน ความสามารถในการขยาย และระดับการพึ่งพาเจ้าของ

ตัวคูณจากยอดขาย (Revenue Multiples)

แม้ว่าตัวคูณจากกำไรสุทธิจะถูกใช้บ่อยที่สุด เพราะสะท้อนผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ผู้ซื้อคาดหวัง แต่การดู “ตัวคูณรายได้” ก็ช่วยให้เห็นมุมมองด้านกำไรขั้นต้นของธุรกิจเช่นกัน

  • ธุรกิจการผลิตโดยทั่วไป มีตัวคูณรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 0.7 เท่า
    โดยมีช่วงที่พบอยู่ระหว่าง 0.5–0.8 เท่า
    ตัวอย่างเช่น:
    หากธุรกิจมีรายได้รวมทั้งปี 28.5 ล้านบาท
    และกำไรสุทธิ (SDE) อยู่ที่ 6.78 ล้านบาท
    จะได้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยราว 23–24% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

หมายเหตุ: SDE หรือ “กำไรสุทธิที่เจ้าของได้รับจริง” คือผลรวมของกำไรสุทธิ + เงินเดือนเจ้าของ + ค่าสวัสดิการ/สิทธิประโยชน์บางประเภท

เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการประเมินมูลค่า

ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการประเมินแบบใด สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการมีงบการเงินและเอกสารทางบัญชีที่จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วนและน่าเชื่อถือ ซึ่งผู้ซื้อและที่ปรึกษาในตลาดจะใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการประเมินมูลค่าจริงของกิจการ

เอกสารที่จำเป็น ได้แก่:

  • งบกำไรขาดทุนย้อนหลัง 3 ปี
  • งบดุลย้อนหลัง 3 ปี
  • รายงานภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • รายงาน SDE (Seller’s Discretionary Earnings)

เพื่อความแม่นยำและความพร้อมในการเข้าสู่กระบวนการซื้อขาย ทีม Max Solutions ให้บริการ “ครบวงจร” ทำงานร่วมกับบริษัทแม่ Tanormsak ซึ่งมี

  • ทีมสนับสนุนด้านบัญชีและภาษี
  • ทีมกฎหมายที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและช่วยเจรจาสัญญา
  • ผู้เชี่ยวชาญด้าน M&A (ควบรวมและซื้อขายกิจการ)

ดูแลครบตามขั้นตอนตั้งแต่การจัดเตรียมเอกสาร การประเมินมูลค่าเบื้องต้น ไปจนถึงการเจรจา ดำเนินการด้านกฎหมาย และปิดการขายอย่างมืออาชีพ — ทั้งหมดนี้เพื่อให้คุณ มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะถูกส่งต่อถึงผู้ลงทุนในมูลค่าที่เหมาะสมและราบรื่น

Max Solutions x Tanormsak = an integrated solution for business exits
พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์เคียงข้างคุณในทุกจังหวะของการเปลี่ยนผ่าน

ข้อมูลแสดงให้เห็นแนวโน้มราคาขายธุรกิจการผลิตในหมวดต่าง ๆ โดยอิงจากตัวคูณของกำไรสุทธิ (SDE) และตัวคูณรายได้(Revenue)

2. ใช้ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ เพื่อปิดดีลได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

การขายธุรกิจการผลิตเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน และไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรดำเนินการเพียงลำพัง หากคุณได้ทุ่มเทสร้างธุรกิจมาด้วยทีมที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้น การเลือก “ทีมผู้เชี่ยวชาญในการปิดการขาย” ที่เหมาะสมก็เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับมูลค่าที่ดีที่สุด พร้อมลดความเสี่ยงระหว่างกระบวนการให้เหลือน้อยที่สุด

ทีมผู้เชี่ยวชาญที่ควรมีในการขายกิจการ

• ทนายความธุรกิจ (Business Attorney) ก่อนเปิดเผยข้อมูลทางการเงินให้กับผู้ซื้อที่มีศักยภาพ เจ้าของกิจการควรมีเอกสาร ข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) ที่ชัดเจน รวมถึงต้องมีการตรวจร่างและเจรจาสัญญาในทุกขั้นตอน เช่น LOI (Letter of Intent), ข้อตกลงเงินกู้ (หากมีการผ่อนจ่าย), และสัญญาซื้อขายขั้นสุดท้าย ทนายความที่มีความเชี่ยวชาญคือกุญแจสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของคุณ

• นักบัญชีและที่ปรึกษาการเงิน (Accountant) ธุรกิจการผลิตมักมีโครงสร้างต้นทุนและกระแสเงินสดที่ซับซ้อน การมีนักบัญชีที่เข้าใจระบบการเงินของคุณตั้งแต่ต้นจะช่วยให้สามารถปรับงบการเงินให้เหมาะกับการประเมินมูลค่า และจัดเตรียมเอกสาร เช่น งบกำไรขาดทุน, งบดุล, รายงานภาษี และ SDE (Seller’s Discretionary Earnings) ได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ

• ที่ปรึกษาด้านการควบรวมและซื้อขาย (M&A Advisor) ที่ปรึกษา M&A คือผู้ช่วยที่ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ ประเมินมูลค่า สื่อสารกับผู้ซื้อ เจรจาราคา ตรวจสอบสถานะกิจการ ไปจนถึงการปิดดีล บริการครบวงจรจากทีม Max Solutions เพราะเราด้วยความเข้าใจว่าการขายธุรกิจคือ “การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในชีวิต”

Max Solutions ให้บริการแบบ One-Stop Integrated Solution โดยทำงานร่วมกับบริษัทแม่ Tanormsak ซึ่งมีทีมผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน ทั้งทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจ นักบัญชีที่เข้าใจระบบต้นทุนและการเงินของธุรกิจการผลิต รวมถึงที่ปรึกษาด้าน M&A ที่มีประสบการณ์ตรงในการบริหารจัดการธุรกรรมการซื้อขายกิจการในหลากหลายอุตสาหกรรม ทีมของเราพร้อมดูแลตั้งแต่การเตรียมความพร้อมด้านเอกสาร การประเมินมูลค่าธุรกิจอย่างเป็นระบบ การคัดกรองผู้ซื้อที่มีศักยภาพ ตลอดจนวางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของธุรกิจในสายตานักลงทุน ยังมีระบบติดตามความคืบหน้าและรายงานสถานะให้กับเจ้าของกิจการอย่างต่อเนื่องทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เราจะยังไม่เรียกเก็บค่าบริการใด ๆ จนกว่ากระบวนการซื้อขายจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และลูกค้าได้รับเงินจากการขายกิจการเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกการดำเนินงานเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ โปร่งใส และตอบโจทย์เป้าหมายของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง.

3. วางแผนการออกจากธุรกิจอย่างเป็นระบบ

การวางแผนการออกจากธุรกิจ (Exit Plan) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถเตรียมความพร้อมในการส่งต่อธุรกิจอย่างราบรื่น และได้รับมูลค่าที่เหมาะสมจากการขายกิจการ โดยเฉพาะในภาคการผลิตของไทยที่มีความซับซ้อนทั้งในด้านกระบวนการผลิตและโครงสร้างองค์กร การวางแผนล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น

กำหนดกรอบระยะเวลาในการขาย

การขายกิจการไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน โดยทั่วไปแล้ว กระบวนการขายธุรกิจการผลิตในประเทศไทยอาจใช้เวลา 6–12 เดือน ตั้งแต่เริ่มประกาศขายจนถึงการปิดดีล นอกจากนี้ ควรเผื่อเวลาอีก 1–2 ปี สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างภายในองค์กร เช่น การจัดระบบบัญชีให้โปร่งใส การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างมั่นคงแม้ในวันที่ไม่มีคุณอยู่

ปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมไทย

ภาคการผลิตของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง เช่น ความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มเหล่านี้ เช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการผลิต หรือการพัฒนาไปสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้ซื้อและเพิ่มมูลค่าของกิจการในระยะยาว

ระยะเวลาขายธุรกิจประเภทการผลิต (Manufacturing Business) โดยเฉลี่ยมีรายละเอียดดังนี้:

  • ธุรกิจผลิตโลหะ (Metal Product Manufacturers): ใช้เวลาขายเฉลี่ย 223 วัน
  • ธุรกิจผลิตป้ายและสิ่งพิมพ์ (Sign Manufacturers and Businesses): เฉลี่ย 215 วัน
  • ธุรกิจผลิตอาหารและสินค้าที่เกี่ยวข้อง (Food and Related Product Manufacturers): เฉลี่ย 198 วัน
  • กลุ่มธุรกิจการผลิตอื่น ๆ (Other Manufacturing Businesses): เฉลี่ย 195 วัน
  • โรงกลึงและผู้ผลิตเครื่องมือ (Machine Shops and Tool Manufacturers): เฉลี่ย 191 วัน

ข้อมูลนี้สะท้อนว่า แม้การขายธุรกิจการผลิตจะมีดีมานด์ในตลาด แต่กระบวนการขายต้องใช้เวลาเฉลี่ย 6–8 เดือน หรือมากกว่านั้น โดยขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ ลักษณะกิจการ และความพร้อมด้านเอกสารและการบริหารจัดการ

หมายเหตุ: หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องการวางแผนการขายในประเทศไทย ควรเตรียมธุรกิจให้พร้อมทั้งด้านการเงิน เอกสาร และทีมที่ปรึกษา เพื่อเพิ่มโอกาสปิดการขายได้รวดเร็วยิ่งขึ้นครับ

วางแผนล่วงหน้า: ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งเพิ่มโอกาสขายได้ราคาดี

โดยทั่วไป การเตรียมตัวล่วงหน้าระยะเวลา 3 ปีถือว่าเป็นกรอบเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการวางแผนขายธุรกิจผลิต แต่ในความเป็นจริง อาจมีปัจจัยภายนอกหลายประการที่ทำให้ไม่มีเวลามากพอเช่นนั้น ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายวันขายไว้ล่วงหน้าให้มากที่สุดเท่าที่บริบทของกิจการจะเอื้ออำนวยจะช่วยให้คุณมีทางเลือกมากขึ้น เพราะหากจำเป็นต้องขายเร่งด่วน โอกาสที่จะต้องลดราคาขายก็จะมีสูง

เตรียมเอกสารและระบบการดำเนินงานให้พร้อม

เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยมักขาดระบบเอกสารที่ชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของกระบวนการทำงานหรือแม้แต่ข้อมูลทางการเงิน หากคุณต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับกิจการของคุณ การจัดระเบียบข้อมูลทางธุรกิจให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบจากภายนอกคือกุญแจสำคัญ

สิ่งที่ควรเตรียมให้พร้อม ได้แก่:

  • งบกำไรขาดทุน (Income Statement) และงบดุล (Balance Sheet) อย่างน้อย 3 ปี ที่มีความสอดคล้องกับแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • รายชื่อลูกค้าพร้อมประวัติการซื้อ
  • รายชื่อซัพพลายเออร์พร้อมข้อมูลต้นทุนวัตถุดิบย้อนหลัง
  • รายชื่อพนักงาน พร้อมข้อมูลภาพรวมด้านการจ้างงาน เช่น อัตราการเข้า-ออกงาน
  • รายละเอียดเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงประวัติการบำรุงรักษา
  • รายการทรัพย์สินที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ

เอกสารเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ซื้อสามารถประเมินธุรกิจของคุณได้อย่างโปร่งใสและเทียบเคียงกับกิจการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยที่มีผลต่อ “ตัวคูณ” มูลค่าธุรกิจผลิต

แม้คุณอาจไม่สามารถเพิ่มกำไรสุทธิของกิจการได้ในเวลาอันสั้น แต่คุณสามารถปรับปรุงกระบวนการหรือภาพรวมของกิจการให้ดึงดูดใจผู้ซื้อและส่งผลให้ได้ “ตัวคูณ” (Valuation Multiple) ที่สูงขึ้น ลองตั้งคำถามกับตนเองในฐานะ “คนนอก” ที่กำลังพิจารณาซื้อกิจการ เช่น:

  • ธุรกิจนี้สามารถดำเนินต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเจ้าของเดิมหรือไม่?
  • ระบบการบริหารจัดการมีความเป็นมืออาชีพและตรวจสอบได้หรือไม่?
  • มีโอกาสเติบโตในอนาคตจากฐานลูกค้าเดิมหรือการขยายตลาดหรือไม่?
  • ธุรกิจนี้มีความเสี่ยงต่ำหรือมีจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่งหรือไม่?

การตอบคำถามเหล่านี้และปรับปรุงในจุดที่ยังไม่สมบูรณ์จะช่วยให้กิจการของคุณพร้อมสำหรับการประเมินมูลค่าอย่างมืออาชีพ และเพิ่มโอกาสในการเจรจาเพื่อขายได้ในราคาที่เหมาะสม

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ “ตัวคูณ” มูลค่าการขายธุรกิจการผลิต

ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มมูลค่า (Improves Price Multiple)ปัจจัยที่ลดมูลค่า (Reduces Price Multiple)

การดำเนินงานที่เป็นระบบ ตรวจสอบได้ และมีเอกสารรองรับครบถ้วน เช่น งบการเงินที่เรียบร้อย ขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน ความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่เป็นทางการ
การดำเนินงานแบบไม่มีระบบ เช่น บัญชีไม่เรียบร้อย ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษร อาศัยข้อตกลงแบบปากเปล่า และความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่เปลี่ยนบ่อย
ใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์การผลิตที่ทันสมัยใช้เครื่องจักรที่ล้าสมัยหรือเทคโนโลยีเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ลูกค้ามีความหลากหลาย ไม่พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่รายรายได้หลักขึ้นอยู่กับลูกค้ารายใหญ่จำนวนน้อย ทำให้มีความเสี่ยงสูงหากลูกค้าเหล่านั้นถอนตัว
มีการบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมากมีสินค้าค้างสต๊อกจำนวนมาก ขายไม่ออก ทำให้ดูเหมือนธุรกิจขาดความคล่องตัว
มีทีมงานที่มีประสบการณ์ และคาดว่าจะอยู่ต่อหลังการขาธุรกิจพึ่งพาญาติหรือคนใกล้ชิด ซึ่งอาจลาออกเมื่อเจ้าของขายกิจกา
มีการบริหารบัญชีลูกหนี้ (A/R) อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีการเก็บเงินตรงเวลาวงรอบบัญชีลูกหนี้ยาว ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมาก ไม่เหมาะกับผู้ซื้อใหม่
มีกลยุทธ์การบริหารจัดการที่ดี เจ้าของไม่จำเป็นต้องอยู่หน้างานทุกวันเจ้าของยังต้องลงมือบริหารงานประจำวัน ทำให้ดูเหมือนกำลังขาย “งาน” ไม่ใช่ “ธุรกิจ”
ร์ตที่สมดุล: จำนวนพอเหมาะ กำไรดี และไม่กระจายตัวมากเกินไปสินค้าน้อยเกินไปทำให้เสี่ยง หรือมีมากเกินไปจนบริหารจัดการยาก
เจ้าของยินดีให้ Seller Financing โดยรับเงินบางส่วนหลังการขายยืนยันรับเงินสดทั้งหมด อาจทำให้ผู้ซื้อยื่นข้อเสนอน้อยลงและราคาต่ำลง

4. การหาผู้ซื้อธุรกิจให้ตรงกลุ่มและได้ราคาดี

ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายบุคคล นักลงทุนเชิงกลยุทธ์ หรือกองทุน Private Equity ธุรกิจด้านการผลิตยังคงเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง จุดสำคัญคือการนำเสนอธุรกิจของคุณให้ถึงมือผู้ซื้อที่เพียงพอ เพื่อสร้างการแข่งขันในการยื่นข้อเสนอ อย่างไรก็ตาม เจ้าของธุรกิจโรงงานหรือการผลิตส่วนใหญ่มักไม่ต้องการประกาศขายธุรกิจอย่างเปิดเผย เนื่องจากกังวลว่าพนักงาน ลูกค้า หรือซัพพลายเออร์อาจรู้สึกไม่มั่นคงหรือขาดความเชื่อมั่น

การขายแบบเปิดเผยกับการขายแบบปิด (Public vs Confidential Sale)

หากคุณใช้บริการจากบริษัทนายหน้าธุรกิจหรือนักวางกลยุทธ์ M&A ในประเทศไทย เช่น Max Solutions ซึ่งมีเครือข่ายในกลุ่มนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ทีมงานจะเป็นผู้ดูแลการตลาดในลักษณะที่รักษาความลับเป็นสำคัญ โดยจะมีการจัดทำ “ประกาศขายแบบไม่ระบุตัวตน” (Blind Listing) ในช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น เครือข่ายนักลงทุนภายในของบริษัท เว็บไซต์กลุ่มธุรกิจในไทย เช่น ThaiFranchiseCenter, B2BThai, หรือ Marketplace เฉพาะกลุ่ม เช่นเว็บไซต์ของหอการค้า สมาคมอุตสาหกรรม และการประชาสัมพันธ์ผ่านอีเมลไปยังนักลงทุนที่ได้รับการคัดกรอง การขายแบบปิดนี้เป็นแนวทางที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดธุรกิจไทย โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานหรือธุรกิจผลิตขนาดกลางถึงใหญ่ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้พนักงาน คู่ค้า หรือเจ้าหนี้เกิดความกังวลก่อนการโอนกิจการจริง ในขณะเดียวกัน หากธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักในแวดวงอุตสาหกรรมหรือมีบทบาทสำคัญในชุมชน การสื่อสารผ่านช่องทางสื่อท้องถิ่นหรือเครือข่ายของสมาคมอุตสาหกรรมก็สามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงผู้ซื้อกลุ่มใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในเรดาร์ของคุณได้เช่นกัน

การแจ้งพันธมิตรหรือผู้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เชื่อถือได้

อีกแนวทางหนึ่งที่สามารถเร่งกระบวนการขายให้เร็วขึ้นได้ คือการแจ้งเจตนาการขายกับคู่ค้าทางธุรกิจที่คุณไว้วางใจ เช่น ลูกค้าเจ้าประจำ ซัพพลายเออร์หลัก หรือแม้แต่คู่แข่งที่คุณมีความสัมพันธ์อันดี เพราะบางครั้งกลุ่มคนเหล่านี้อาจเป็นผู้ซื้อที่เล็งเห็นคุณค่าในกิจการของคุณมากที่สุด

5. เจรจาข้อตกลงและปิดการขาย

เมื่อคุณพบผู้ซื้อที่เหมาะสม ขั้นตอนถัดไปคือการเจรจารายละเอียดข้อตกลงให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยราคาซื้อขายจะเป็นประเด็นหลักที่ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สำคัญไม่แพ้กัน ได้แก่

  • เงื่อนไขการชำระเงิน: หากมีการตกลงใช้การผ่อนชำระ (Seller Financing) จะต้องกำหนดกรอบเวลา อัตราดอกเบี้ย หลักประกัน และเงื่อนไขการผิดนัดให้รอบคอบ
  • ระยะเวลาการฝึกงาน/การส่งมอบ: เจ้าของเดิมมักต้องอยู่ช่วยถ่ายทอดกระบวนการหลังปิดดีล อาจอยู่ในรูปแบบการอบรมหรือที่ปรึกษาระยะสั้นตามที่ตกลง
  • ทรัพย์สินที่รวมในการขาย: ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าสินทรัพย์ใดบ้างที่รวมอยู่ในข้อตกลง เช่น เครื่องจักร พื้นที่คลังสินค้า ระบบซอฟต์แวร์ หรือฐานข้อมูลลูกค้า
  • เงินทุนหมุนเวียนคงเหลือ (Working Capital): ในบางกรณี ผู้ซื้ออาจร้องขอให้ธุรกิจยังคงเงินทุนหมุนเวียนไว้ในระดับที่เพียงพอต่อการดำเนินงานในช่วงแรก
  • ข้อผูกพันภายหลังการขาย: เช่น การไม่ประกอบกิจการแข่งขันในระยะเวลาหนึ่ง (Non-Compete Agreement) เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ

รักษาความเป็นมืออาชีพในระหว่างการเจรจา

ในช่วงปลายของกระบวนการเจรจา หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรตระหนัก คือการรักษาความเป็นกลางทางอารมณ์และแยกความรู้สึกส่วนตัวออกจากการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นผู้ก่อตั้งหรือบริหารกิจการด้วยตนเองมายาวนาน ความผูกพันที่มีต่อธุรกิจอาจทำให้คุณมองบางประเด็นด้วยความรู้สึกมากกว่าข้อเท็จจริง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาโดยไม่รู้ตัว เป็นเรื่องปกติที่ผู้ซื้อ

จะต่อรองเงื่อนไขให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับฝั่งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา รูปแบบการชำระเงิน หรือการรับช่วงทรัพย์สินต่าง ๆ การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าโดยกำหนดขอบเขตที่คุณสามารถยืดหยุ่นได้ และข้อที่ไม่สามารถยอมความได้ จะช่วยให้การเจรจาเป็นไปอย่างมีกรอบและไม่หลุดจากเป้าหมายหลัก

รายละเอียดเล็กน้อยในการเจรจาแต่ละประเด็น ล้วนเป็นโอกาสในการแสดงความตั้งใจจริง ความเป็นมืออาชีพ และความร่วมมือของคุณในฐานะผู้ขายที่ต้องการส่งต่อธุรกิจอย่างมีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่า พวกเขากำลังได้รับโอกาสที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพต่อยอดได้ในอนาคต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรให้ความสำคัญกับการเจรจาในฐานะการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ไม่ใช่เพียงการต่อรองราคา การแสดงความยืดหยุ่นในจุดที่เหมาะสม และการรักษาท่าทีที่เปิดกว้างพร้อมประนีประนอม จะช่วยให้ข้อตกลงบรรลุผลอย่างราบรื่น และทำให้คุณสามารถปิดการขายได้อย่างภาคภูมิใจ พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายใหม่ในชีวิตหรือธุรกิจของคุณต่อไปด้วยความมั่นใจ

ทั้งนี้ การมีทีมที่ปรึกษาอย่างมืออาชีพ เช่น ทนาย นักบัญชี และที่ปรึกษาด้าน M&A จากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น Max Solutions ซึ่งทำงานร่วมกับทีมกฎหมายและการเงินของบริษัทแม่อย่าง “Tanormsak” จะช่วยให้คุณเจรจาและปิดการขายได้อย่างมั่นใจ โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ที่สมดุลและความมั่นคงหลังการโอนกิจการ การขายธุรกิจการผลิตไม่ใช่เพียงแค่การโอนเปลี่ยนเจ้าของกิจการ แต่เป็นการส่งต่อคุณค่า ประสบการณ์ และความตั้งใจที่คุณได้สั่งสมมาตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้กระบวนการนี้ประสบความสำเร็จในทุกมิติ—ทั้งในแง่ของมูลค่าทางการเงินและการรักษาความต่อเนื่องของกิจการ—เจ้าของธุรกิจจึงควรวางแผนอย่างรอบคอบ เตรียมความพร้อมทั้งด้านการเงิน การจัดการ และการสื่อสารอย่างมืออาชีพทีมที่ปรึกษาของ Max Solutions พร้อมให้การสนับสนุนคุณในทุกขั้นตอนของการขายกิจการ โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทแม่ Tanormsak ซึ่งประกอบด้วยทีมทนายความ นักบัญชี และที่ปรึกษาด้าน M&A ที่มีประสบการณ์สูง ทั้งนี้ เรายึดมั่นในการให้บริการแบบ “ครบวงจร” ที่ช่วยดูแลตั้งแต่การประเมินมูลค่าเบื้องต้น การเตรียมเอกสาร การหาผู้ซื้อที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการเจรจาปิดดีล—all without any upfront fees จนกว่าการขายจะสำเร็จอย่างเป็นทางการ

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้กลายเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ อย่ารอช้าที่จะเริ่มต้นพูดคุยกับเรา

ติดต่อ Max Solutions วันนี้ เพื่อขอรับคำปรึกษาเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

โทร: 089-776-4545
อีเมล: Chatpongl@maxsolutions.co.th
Line: @maxsolutions

Scroll to Top