Sell Your Business Today

ขายธุรกิจของคุณวันนี้

คู่มือฉบับสมบูรณ์ : วิธีขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างมืออาชีพ

อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโลกมายาวนาน โดยมีนวัตกรรมและความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญ ในยุคปัจจุบัน ภูมิทัศน์ของวงการก่อสร้างได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ด้วยแรงผลักดันจากเทคโนโลยีสมัยใหม่และความตื่นตัวด้านความยั่งยืน ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ธุรกิจต้องปรับตัวตาม

หากคุณกำลังพิจารณาขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของคุณ MAX Solutions พร้อมเป็นพันธมิตรที่คุณไว้วางใจได้

การขายธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถใช้สูตรสำเร็จเพียงแบบเดียวได้ ต้องอาศัยเวลา ความเข้าใจ และการวางกลยุทธ์เฉพาะ เพื่อให้สามารถดึงดูดผู้ซื้อที่ใช่ และได้รับมูลค่าที่เหมาะสมที่สุด บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับขั้นตอนทั้งหมดของกระบวนการขาย ตั้งแต่การเตรียมเอกสารสำคัญ ไปจนถึงการปิดการขายอย่างสมบูรณ์

ขั้นตอนโดยสังเขป: การขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

หากคุณตัดสินใจที่จะขายกิจการรับเหมาก่อสร้างทั้งหมดหรือบางส่วน ต่อไปนี้คือแนวทางกระบวนการเปลี่ยนผ่านธุรกิจในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

  1. สร้างทีมที่ปรึกษาให้แข็งแกร่ง เริ่มจากการร่วมงานกับบริษัทนายหน้าธุรกิจ หรือบริษัท M&A ที่มีประสบการณ์จริงในการขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ควรมองหาทนายความด้าน M&A และที่ปรึกษาด้านภาษีที่เชี่ยวชาญ ซึ่ง MAX Solutions สามารถแนะนำพันธมิตรที่เชื่อถือได้จากเครือข่ายของ
  2. เตรียมเอกสารสำคัญ ที่ปรึกษาของคุณจะขอเอกสารจำนวนมากเพื่อประกอบการขาย เช่น งบการเงิน แผนผังองค์กร สัญญากับผู้รับเหมาช่วง ซัพพลายเออร์ ลูกค้า รวมถึงข้อตกลงจ้างงานต่างๆ
  3. ทำการตลาดสำหรับดีล เราจะจัดทำเอกสารเสนอขายที่ครอบคลุมทั้งข้อมูลธุรกิจและการคาดการณ์ทางการเงิน จากนั้นจึงนำเข้าสู่ตลาดการซื้อขาย โดยอาศัยฐานข้อมูลนักลงทุนที่ครอบคลุมจากหลากหลายอุตสาหกรรม
  4. รับข้อเสนอเบื้องต้น (IOIs) ขึ้นอยู่กับขนาดของดีล ที่ปรึกษาอาจแนะนำให้นำธุรกิจเข้าสู่ตลาดและเร่งให้เกิดข้อเสนอ (LOIs) หรือในกรณีธุรกิจขนาดใหญ่ เราอาจรวบรวม IOIs ล่วงหน้า เพื่อคัดเลือกผู้ซื้อที่มีศักยภาพสูง และจัดการประชุมเพิ่มเติมก่อนยื่น LOI
  5. จัดประชุมกับนักลงทุน หากเหมาะสม ที่ปรึกษาจะเข้าร่วมกับคุณในการจัดสัปดาห์พบปะนักลงทุน เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิ
  6.  รับข้อเสนอขั้นสุดท้าย (LOIs) เมื่อได้พบกับผู้ซื้อที่ผ่านการคัดเลือก ข้อเสนอขั้นสุดท้ายจากแต่ละรายจะถูกส่งมาให้พิจารณา
  7.  เซ็นสัญญา LOI แบบเฉพาะเจาะจง (Exclusive LOI) ผ่านกระบวนการเจรจา เราจะช่วยคุณเลือกผู้ซื้อที่เหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาจากราคา เงื่อนไข ความน่าเชื่อถือ และแผนงานต่อยอดธุรกิจ
  8. การตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) เข้าสู่ช่วงการตรวจสอบอย่างละเอียด 60–90 วัน ซึ่งผู้ซื้อและทีมที่ปรึกษาของเขาจะวิเคราะห์ทุกมิติของธุรกิจ
  9. ปิดการขาย (Closing) เมื่อถึงวันปิดการขาย คุณจะได้รับเงินประมาณ 80–90% ของราคาธุรกิจ และการโอนกรรมสิทธิ์จะเสร็จสมบูรณ์
  10. ช่วงเปลี่ยนผ่านกิจการ (Transition) หลังปิดดีล ผู้ซื้อโดยทั่วไปจะขอให้ผู้ขายอยู่ช่วยในช่วงเปลี่ยนผ่านตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ เพื่อถ่ายทอดงานและช่วยให้การส่งต่อธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น

ปัจจัยที่กำหนดมูลค่าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

ในตลาด M&A สำหรับธุรกิจขนาดกลาง บริษัทรับเหมาก่อสร้างมีช่วงมูลค่าการประเมิน (valuation multiples) ที่ค่อนข้างกว้าง ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละบริษัทมีคุณลักษณะน่าดึงดูดเพียงใด โดยบริษัทที่สามารถขายได้ในมูลค่าสูง เช่น ~10 เท่าของ EBITDA มักจะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

  • ผลการดำเนินงานทางการเงิน: รายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง อัตรากำไรที่มั่นคง และประวัติของกระแสเงินสดที่ดี ล้วนส่งผลบวกต่อการประเมินมูลค่า
  • ปริมาณงานที่คงค้างในสัญญา (Project Backlog): ยิ่งมีโครงการที่ลงนามแล้วมากและมีคุณภาพสูง ยิ่งแสดงถึงรายได้ในอนาคตที่มั่นคง
  • สินทรัพย์ของกิจการ: มูลค่าของอุปกรณ์ เครื่องจักร ที่ดิน และสินทรัพย์ที่จับต้องได้อื่น ๆ มีผลโดยตรงต่อมูลค่ารวม
  • อุปสงค์ในตลาด: ความต้องการที่สูงสำหรับบริการก่อสร้างในพื้นที่หรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับธุรกิจ
  • ชื่อเสียงและความสัมพันธ์กับลูกค้า: ความเชื่อมั่นในแบรนด์และความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าหลักเป็นจุดแข็งที่ประเมินมูลค่าได้
  • ทีมผู้บริหาร: ความสามารถและประสบการณ์ของทีมบริหารเป็นปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญ
  • ขอบเขตการให้บริการ (Geographic Reach): ธุรกิจที่มีการดำเนินงานในหลายพื้นที่มักได้รับมูลค่าสูงกว่า เพราะช่วยกระจายความเสี่ยง
  • แนวโน้มอุตสาหกรรม: การปรับตัวตามเทคโนโลยีหรือเทรนด์ใหม่ ๆ เช่น ความยั่งยืน หรือระบบอัตโนมัติ สามารถเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจได้
  • ระดับความเสี่ยง: ความเสี่ยงจากสัญญา โครงการ หรือภาวะตลาด หากจัดการได้ดี จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อ
  • สถานการณ์การแข่งขัน: ตำแหน่งของธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด ส่งผลต่อการรับรู้มูลค่าของกิจการ

การประเมินมูลค่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนั้นไม่ใช่เรื่องตายตัว และมักต้องอาศัยการพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน หากธุรกิจของคุณมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับปัจจัยเหล่านี้ครบถ้วน โอกาสที่จะได้ ค่าทวีคูณสูงก็ยิ่งมีมาก แต่ในทางกลับกัน หากคุณลักษณะเหล่านี้มีไม่ครบ หรือธุรกิจมีกำไรน้อย ก็อาจทำให้ขายไม่ออกหรือได้ราคาต่ำ ซึ่งเกิดขึ้นได้ในบางกรณี

จากที่กล่าวไว้ข้างต้น และตามที่แสดงในกราฟนี้ มูลค่าการประเมินของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสามารถแตกต่างกันได้อย่างมาก ขึ้นอยู่กับความ “น่าดึงดูด” ของกิจการ ทั้งนี้ หมายถึงการที่ธุรกิจมีคุณสมบัติเหมาะสมตามปัจจัยสำคัญที่ผู้ซื้อให้ความสนใจ เช่น ผลกำไร ความมั่นคงของรายได้ และชื่อเสียงในอุตสาหกรรม

จากที่กล่าวไว้ข้างต้น และตามที่แสดงในกราฟนี้ มูลค่าการประเมินของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสามารถแตกต่างกันได้อย่างมาก ขึ้นอยู่กับความ “น่าดึงดูด” ของกิจการ ทั้งนี้ หมายถึงการที่ธุรกิจมีคุณสมบัติเหมาะสมตามปัจจัยสำคัญที่ผู้ซื้อให้ความสนใจ เช่น ผลกำไร ความมั่นคงของรายได้ และชื่อเสียงในอุตสาหกรรม

บริษัทที่มีคุณสมบัติตรงตามปัจจัยเหล่านี้ครบถ้วน จะมีค่า Multiple สูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งหมายถึงการได้รับมูลค่าการขายที่สูงขึ้นเช่นกัน

ในส่วนถัดไปเราจะลงลึกไปยังปัจจัยวิกฤติที่มีบทบาทสำคัญต่อการประเมินมูลค่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างแท้จริง

ผลการดำเนินงานทางการเงิน: ตัวชี้วัดหลักของมูลค่าธุรกิจ

ผลประกอบการในอดีตและประมาณการทางการเงินในอนาคตของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่ใช้ในการประเมินมูลค่า นักลงทุนหรือผู้ซื้อที่สนใจจะต้องเข้าถึงข้อมูลบัญชีที่เป็นปัจจุบัน รายงานทางการเงิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น แบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้เพื่อวิเคราะห์รายได้ กำไร กระแสเงินสด และแนวโน้มการเติบโตของกิจการ ซึ่งจะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ขนาดของธุรกิจมักสัมพันธ์กับมูลค่าที่ประเมินได้ 

สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จากข้อมูลของ Asia Plus Securities ณ เดือนกันยายน 2024 พบว่ามีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ในช่วง 6-10% ซึ่งตัวเลขนี้ถือเป็นเกณฑ์หนึ่งที่นักลงทุนมักใช้พิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไรและความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัท

กลุ่มอุตสาหกรรมและสภาพตลาด: ปัจจัยสำคัญต่อการประเมินมูลค่า

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ธุรกิจก่อสร้างดำเนินงานอยู่ รวมถึงสภาพตลาดในขณะนั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของกิจการ ความต้องการของตลาด ภูมิทัศน์การแข่งขัน อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (barriers to entry) และแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม ล้วนมีบทบาทในการสร้าง “คุณค่าที่รับรู้” ของธุรกิจในสายตานักลงทุน

โดยทั่วไปแล้ว หากธุรกิจอยู่ในกลุ่มงานก่อสร้างเฉพาะทาง (niche market) ขนาดของตลาดโดยรวมอาจเล็กกว่า แต่ก็มักมีคู่แข่งน้อยลง และสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงจากลูกค้ากลุ่มเดิมได้มากกว่า ธุรกิจลักษณะนี้จึงมีแนวโน้มทำกำไรได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีมุมมองต่อกลุ่มตลาดเฉพาะแตกต่างกัน บางรายชื่นชอบเพราะมีความเสี่ยงต่ำและมีความมั่นคง ขณะที่บางรายอาจมองว่าขาดโอกาสในการเติบโตระยะยาว

ดังนั้น การเข้าใจว่าธุรกิจของคุณอยู่ในกลุ่มใด และสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มมูลค่าการขาย

โอกาสในการเติบโต: ตัวชี้วัดอนาคตและมูลค่าทางธุรกิจ

ผู้ซื้อธุรกิจจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “ศักยภาพการเติบโต” ของธุรกิจก่อสร้าง เพราะเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงความคุ้มค่าในระยะยาว องค์ประกอบที่ถูกนำมาพิจารณา ได้แก่ ความหลากหลายของพอร์ตโครงการ แนวทางในการขยายธุรกิจ การเพิ่มขอบเขตของตลาด ความสามารถในการนำนวัตกรรมมาใช้ และคุณภาพของฐานลูกค้า—all ล้วนมีบทบาทในการประเมินศักยภาพการเติบโตในอนาคต ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนโดยตรง

แม้จะอยู่ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางก็อาจมีแนวโน้มเติบโตที่โดดเด่นได้ หากสามารถต่อยอดไปยังบริการหรือกลุ่มลูกค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น ขยายจากงานโครงสร้างไปสู่การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ หรืองานรีโนเวตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

ดังนั้น การนำเสนอภาพรวมของโอกาสขยายธุรกิจอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะในเชิงตลาด ผลิตภัณฑ์ หรือนวัตกรรม จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ และผลักดันให้ธุรกิจของคุณได้รับการประเมินมูลค่าในระดับที่สูงขึ้น

สินทรัพย์และทรัพย์สินทางปัญญา: พื้นฐานที่เสริมมูลค่าธุรกิจ

ทั้งสินทรัพย์ที่จับต้องได้และสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ต่างมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมูลค่าของกิจการ ตัวอย่างเช่น เครื่องจักรกลหนัก เครื่องมือเฉพาะทาง วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์สำนักงาน ที่ดิน อาคาร โครงสร้างพื้นฐานของไซต์งาน และสินค้าคงคลังทั่วไป หากดูแลรักษาอย่างดี สินทรัพย์เหล่านี้สามารถเพิ่มความน่าสนใจและความมั่นใจให้กับผู้ซื้อได้อย่างมาก

โดยทั่วไปแล้ว บริษัทที่ใช้เครื่องจักรสมัยใหม่และอุปกรณ์คุณภาพสูง มักได้รับการประเมินมูลค่าในระดับที่สูงกว่าบริษัทที่ใช้เครื่องมือพื้นฐานทั่วไป เนื่องจากแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงาน และความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

นอกจากนั้น “ทีมงาน” ที่มีความสามารถและเสถียรภาพก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของธุรกิจ แม้จะไม่ได้แสดงไว้ในงบดุลโดยตรง แต่ความพร้อมของทีมที่สามารถถ่ายทอดความรู้และทำงานต่อเนื่องได้หลังการเปลี่ยนเจ้าของ ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน

ฐานลูกค้า: เสาหลักแห่งความน่าเชื่อถือและรายได้ที่ยั่งยืน

ความแข็งแกร่งและความมั่นคงของความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นสิ่งสะท้อนคุณภาพของผลงานและชื่อเสียงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างแท้จริง ฐานลูกค้าที่หลากหลายและภักดีบ่งบอกถึงความสามารถของธุรกิจในการรองรับความต้องการที่หลากหลาย สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว และปลูกฝังความไว้วางใจในชุมชนที่ให้บริการ

ความเชื่อมั่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง แต่ยังนำมาซึ่งรายได้ที่ต่อเนื่องและโอกาสในการรับงานซ้ำ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อธุรกิจให้ความสำคัญ เพราะแสดงถึงความมั่นคงและศักยภาพในการดำเนินงานต่อไปในอนาคต

กระบวนการขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง: ทำอย่างไรให้ได้ราคาสูงและเงื่อนไขดีที่สุด

แม้ว่าจะไม่เหมาะกับลูกค้าทุกประเภท แต่จากประสบการณ์ของเรา เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างส่วนใหญ่มักได้รับ “ราคาขาย” และ “เงื่อนไขที่แข่งขันได้มากที่สุด” จากกระบวนการขายแบบ ประมูลเชิงกลยุทธ์ (Structured Auction) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อหลายรายยื่นข้อเสนอภายใต้การแข่งขันที่ยุติธรรมและโปร่งใส

โดยทั่วไป กระบวนการประมูลเช่นนี้ใช้เวลาประมาณ 7–9 เดือน และในบางกรณี เราอาจแนะนำให้ลูกค้าใช้บริการสำนักงานบัญชีเพื่อทำ การวิเคราะห์คุณภาพของรายได้ (Quality of Earnings – QoE) ก่อนเข้าสู่กระบวนการ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งแม้จะมีค่าใช้จ่ายและใช้เวลาเพิ่มขึ้น แต่ก็มักให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า โดยอาจเพิ่มมูลค่าการขายได้มากถึง 5%–15%

ในหัวข้อถัดไป เราจะอธิบายแต่ละขั้นตอนของกระบวนการประมูลระดับสูง เพื่อให้คุณเข้าใจภาพรวมของการขายธุรกิจในรูปแบบที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

วิธีที่เพิ่มมูลค่าการขายให้กับเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ผ่านกระบวนการประมูลเชิงกลยุทธ์

การขายธุรกิจให้ได้มูลค่าสูงสุดไม่ได้เกิดจาก “การประกาศขาย” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยกระบวนการที่วางแผนอย่างรอบคอบ และควบคุมทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ที่ MAX Solutions ใช้แนวทางการประมูลแบบมืออาชีพ เพื่อช่วยให้เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดทั้งในด้านราคาและเงื่อนไข

  1. . ตรวจสอบสถานะฝั่งผู้ขาย (Sell-side Due Diligence) โดยปกติขั้นตอนการตรวจสอบสถานะจะดำเนินการโดยผู้ซื้อหลังจากยื่นข้อเสนอ แต่เราเลือกที่จะดำเนินการ ตรวจสอบล่วงหน้า (Pre-Market Diligence) ตั้งแต่ก่อนนำธุรกิจเข้าสู่ตลาด ด้วยเหตุผลสำคัญคือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าไม่มีประเด็นซ่อนเร้นใด ๆ ที่จะสร้างความเสี่ยงภายหลัง ซึ่งช่วยให้ข้อเสนอที่ได้รับมีความจริงใจ แข็งแรง และต่อรองได้ดีขึ้น
  2. กำหนดกระบวนการขายให้เหมาะสม (Tailored Brokerage or Auction) เราจะเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับขนาดและลักษณะของธุรกิจ หากธุรกิจมีขนาดเล็กถึงกลาง อาจเหมาะกับการตั้งราคาขายชัดเจนแบบการขายผ่านนายหน้า แต่หากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เราจะแนะนำกระบวนการประมูล (Auction) ซึ่งเปิดให้ผู้ซื้อแข่งขันกันเสนอราคาและเงื่อนไขอย่างโปร่งใส เพื่อให้เจ้าของธุรกิจมีอำนาจในการเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุดเรายังช่วยจัดการรายชื่อผู้ซื้อให้ตรงกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่มีศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจ (Strategic Buyers) และกรองออกกลุ่มที่เจ้าของไม่ต้องการให้ทราบว่าธุรกิจกำลังขาย
  3. คัดเลือกผู้ซื้อรอบสุดท้าย (Short-listing Finalists) สำหรับธุรกิจที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้รับข้อเสนอเบื้องต้น (Indications of Interest – IOIs) จากผู้ซื้อมากกว่า 5 ราย เราจะช่วยประเมิน ตรวจสอบภูมิหลัง และจัดการประชุม (หรืองานดินเนอร์เชิงธุรกิจ) เพื่อให้เจ้าของธุรกิจได้พบกับผู้ซื้อ รวมถึงช่วยเตรียมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจ
  4. เจรจาเงื่อนไข LOI และอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบสถานะ หลังจากได้รับ LOIs จากผู้ซื้อที่ผ่านการคัดเลือก เราจะร่วมมือกับเจ้าของธุรกิจในการวิเคราะห์ข้อเสนอ และเลือกผู้ที่เสนอเงื่อนไขดีที่สุดเพื่อเข้าสู่ขั้นตอน LOI แบบเฉพาะเจาะจง (Exclusive LOI)จากนั้นจะเข้าสู่ช่วง Due Diligence อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 60–90 วัน โดยจะมีการตรวจสอบด้านการเงิน กฎหมาย และการดำเนินงานอย่างละเอียด รวมถึงการเจรจาขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับรายละเอียดในสัญญา ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดจากทั้งสองฝ่าย

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการของตลาดในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ความน่าสนใจและศักยภาพในการลงทุนของอุตสาหกรรมก่อสร้างไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งโดยลำพัง แต่เกิดจากองค์ประกอบหลายด้านที่หล่อหลอมร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองของนักลงทุน ซึ่งมองหา “ความมั่นคง + การเติบโต” เป็นหลัก ความต้องการของตลาดในอุตสาหกรรมก่อสร้างถูกขับเคลื่อนจากหลายปัจจัยสำคัญร่วมกัน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น อาคารพาณิชย์ โครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาริมทรัพย์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การกู้ยืมเงินเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างจึงมีต้นทุนที่ต่ำลง ทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนกล้าตัดสินใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบอัตโนมัติ หรือ Building Information Modeling (BIM) มาใช้ มักได้รับความสนใจมากกว่าเพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ สำหรับตลาดการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย มีการคาดการณ์จากผลสำรวจเมื่อไตรมาส 2 ปี 2021 โดย Research and Markets ว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากมูลค่าประมาณ 451.1 พันล้านบาทในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 722.5 พันล้านบาทภายในปี 2025 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 12.5% ในช่วงปี 2021-2025 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่มนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญ รวมถึงนโยบายภาครัฐ เช่น มาตรการสนับสนุนการลงทุน โครงการภาครัฐ และข้อกำหนดด้านผังเมือง ก็มีผลต่อความน่าสนใจของตลาดในระยะยาว หากธุรกิจสามารถปรับตัวและวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มเหล่านี้ได้ ก็จะมีโอกาสสร้างความโดดเด่นในตลาดและได้รับการประเมินมูลค่าในระดับที่สูงขึ้นจากนักลงทุน.

เทคโนโลยีกับบทบาทในการวิเคราะห์ธุรกิจก่อสร้างจากมุมมองนักลงทุน

สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Buyers) หรือกลุ่มทุนเอกชน (Private Equity) เป้าหมายหลักคือการเข้าซื้อกิจการในราคาที่ต่ำกว่ากระแสเงินสดที่สามารถดึงออกมาได้ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งการตัดสินใจเหล่านี้มักพิจารณาจากสองแนวทางหลัก: หนึ่งคือการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และสองคือการเข้าซื้อบริษัทที่แตกต่างจากคู่แข่ง มีฐานลูกค้าชัดเจนและรายได้ที่มั่นคง

ในทั้งสองกรณี เทคโนโลยีถือเป็นตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนใช้ในการประเมินคุณภาพของกิจการ โดยเฉพาะเทคโนโลยีอย่าง Building Information Modeling (BIM) และ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการโครงการ (Project Management Software) ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายในโครงการ หากบริษัทสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้อย่างมีประสิทธิผล จะถูกมองว่าเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรม” ที่สามารถส่งมอบงานได้ตรงเวลา ในงบประมาณ และพร้อมปรับตัวกับแนวโน้มในอุตสาหกรรมได้ดี

เทคโนโลยีเหล่านี้อาจถูกใช้เพื่อขยายกิจการ เพิ่มรายได้ หรือสร้างจุดต่างที่ชัดเจนจากคู่แข่ง ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจสามารถตั้งราคาขายสูงขึ้น โดยจากข้อมูลในตลาดจริง บริษัทที่ให้บริการเฉพาะทางและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มักมีมูลค่าซื้อขายสูงกว่าคู่แข่งทั่วไปถึง 30%–40% เลยทีเดียว

สรุปวิธีขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างมืออาชีพ

การขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างให้ได้มูลค่าสูง ต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเตรียมเอกสารทางการเงิน การประเมินมูลค่าธุรกิจตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น รายได้ ความสามารถในการเติบโต ฐานลูกค้า สินทรัพย์ และชื่อเสียง ไปจนถึงการจัดกระบวนการขาย เช่น การประมูล (Auction Process) ซึ่งเปิดให้ผู้ซื้อเสนอราคาภายใต้การแข่งขันอย่างยุติธรรม กระบวนการนี้มักใช้เวลา 7–9 เดือน และหากมีการตรวจสอบคุณภาพรายได้ (Quality of Earnings) ก่อนเข้าสู่ตลาด จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเพิ่มมูลค่าการขายได้ถึง 5–15%

นักลงทุนให้ความสำคัญกับธุรกิจที่มีความแตกต่าง มีความมั่นคง และสามารถขยายตัวได้ โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น BIM หรือระบบบริหารโครงการ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน บริษัทที่มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น ทีมงานมีเสถียรภาพ และมีแนวทางการเติบโตที่ชัดเจน มักได้รับความสนใจสูงและสามารถปิดการขายได้ในราคาพรีเมียม การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้และเตรียมความพร้อมล่วงหน้า คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างมืออาชีพ

การขายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจตลาด การวางแผนที่รอบคอบ และการจัดการที่เป็นระบบ หากคุณกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่เชี่ยวชาญเพื่อช่วยวางกลยุทธ์ในการขายธุรกิจของคุณ ทีมที่ปรึกษาจาก MAX Solutions พร้อมอยู่เคียงข้างคุณทุกขั้นตอน ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาเชิงลึกโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นได้ที่

Line @maxsolutions

Email: Chatpongl@maxsolutions.co.th

หมายเลขโทรศัพท์ 089 776-4545

หากคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้กลายเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่

Scroll to Top